ลิเวอร์พูล ทำให้แฟนบอลทั้งช็อกและทั้งผิดหวังเข้าให้จนได้เมื่อบุกไปแพ้ บอร์นมัธ ทีมรองบ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ 1-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ที่ 11 มี.ค. ทั้งๆที่เกมแรกของซีซั่น หงส์แดง เฝ้าบ้านขยี้ เดอะ เชอร์รีส์ อย่างถล่มทลาย 9-0 เป็นสถิติผลลัพธ์ร่วมที่ขาดลอยที่สุดของลีก
แน่นอนว่าจากผลลัพธ์ดังกล่าวของ หงส์แดง ทำให้มี 5 ประเด็นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
1. เจ้าถิ่นปรับทัพสามตำแหน่ง
แกรี่ โอนีล ผู้จัดการทีม บอร์นมัธ เปลี่ยนทีมตัวจริงรวมสามรายจากนัดก่อนที่บุกไปพ่าย อาร์เซน่อล อย่างน่าเสียดายในช่วงทดเวลา 3-2
จอร์แดน เซมูร่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเกมนี้ ขณะที่ คริส เมแฟม กับ อองตวน เซเมนโย่ หล่นไปนั่งข้างสนามเพื่อหลีกทางให้ ลอยด์ เคลลี่ , เจฟเฟอร์สัน เลอร์ม่า และ ไจดอน แอนโธนี่ ได้ออกสตาร์ต
อย่างไรก็ดี เดวิด บรู๊คส์ มีชื่อเป็นตัวสำรองเกมนี้ด้วยหลังฟื้นตัวจากโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอย่างเด็ดขาดแล้วเมื่อเดือนพ.ค.โดยเขาหายหน้าไปนับตั้งแต่เดือนต.ค.2021
2. ทีมเยือนโรเตชั่นหนึ่งจุด
ลิเวอร์พูล เปลี่ยนทีมตัวจริงแค่รายเดียวเท่านั้นเมื่อเทียบกับเกมล่าสุดที่เฝ้าบ้านยำใหญ่ แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมมีชื่อประจำการณ์บนม้านั่งตัวสำรองอีกครั้งโดย สเตฟาน บายเซติช กองกลางวัย 18 ปีได้คัมแบ็คอยู่ในโผ 11 คนแรก
ด้าน ดีโอโก้ โชต้า จะลงเล่นให้ เร้ด แมชีน เป็นเกมที่ 100 พอดีในทุกรายการหากได้ลงสนาม ขณะที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จะลงบู๊เป็นเกมที่ 250 ในลีกให้กับทีมเยือนหากได้ลงเล่นเกมนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ เครื่องจักรสีแดง ยังได้ อาร์ตู เมโล่ มิดฟิลด์ที่ยืมมาจาก ยูเวนตุส ฟิตสมบูรณ์แล้วรอการลงสนามด้วยหลังจากเขาลงเล่นไปได้แค่ 13 นาทีเท่านั้นนับตั้งแต่เดือนส.ค. และเป็นเกมแรกที่พ่อค้าแข้งแซมบ้ามีชื่อเป็นตัวสำรองนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.
3. ลูกโทษที่รอคอย
เป็นเรื่องน่าทึ่งไม่น้อยที่ทีมจอมบุกอย่าง ลิเวอร์พูล ไม่ได้ลูกโทษในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เลย
รวมแล้วมันกินเวลาเนิ่นนานถึง 343 วันก่อนที่พวกเขาจะมาได้ลูกโทษที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ในจังหวะแฮนด์บอลของ อดัม สมิธ ซึ่งเปิดทางให้ โม ซาลาห์ ได้สังหารเพื่อพาทีม ลิเวอร์พูล ตีเสมอ
และที่สำคัญ หลังจากมีฟอร์มที่ย่ำแย่ในต้นซีซั่น กองหน้าทีมชาติ อียิปต์ อยู่ในช่วงกลับมาล่าตาข่ายได้อย่างน่าเกรงขามอีกครั้งจากผลงาน 5 ประตู และ 4 แอสซิสต์ใน 6 นัดหลังของทุกรายการ
กระนั้นก็ดี บังโม ก่อเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่ได้แค่ยิงลูกโทษพลาดเท่านั้น แต่เขาซัดหลุดกรอบไปไกลแบบไม่ได้ลุ้นเลยแม้แต่น้อยจนส่งทำให้ทีมของเขาโดน เดอะ เชอร์รีส์ ถอนแค้นจนได้
รวมแล้ว ซาลาห์ ได้ซัดลูกโทษใน พรีเมียร์ลีก รวมทั้งสิ้น 21 ครั้ง และส่งบอลเข้าประตู 18 ครั้ง โดนเซฟ 2 ครั้ง หากแต่ครั้งล่าสุดนี้นายทวาร เนโต้ ไม่จำเป็นต้องออกแรงปัดป้องเลย
ขณะเดียวกัน หากนับรวมทุกรายการ บังโม ยิงลูกโทษให้ ลิเวอร์พูล 28 ครั้ง และตุงตาข่าย 24 ครั้งโดนพลาดไป 4 ครั้ง
ฉะนั้นแล้ว ถึงตอนนี้จึงเหลือแค่ บอร์นมัธ เท่านั้นที่ยังเป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ที่ยังไม่ได้ลูกโทษเลยแม้แต่หนเดียว
4. ภาพรวมของเกม
หลับตานึกภาพเป็นใครก็รู้ว่า ลิเวอร์พูล เหนือกว่า บอร์นมัธ ทุกด้าน ขาดก็แต่โอกาสเช็คบิลที่ไม่มีความเด็ดขาดมากพอจนทำให้เจ้าบ้านได้สามแต้มเต็มจากประตูโทนของ ฟิลิป บิลลิ่ง
เริ่มจากครึ่งแรก หงส์แดง ครองบอลได้มากถึง 66:34% และได้ยิงประตูรวม 9 ครั้ง อีกทั้งเข้ากรอบมากถึง 5 ครั้ง ต่างจาก บอร์นมัธ ที่ได้ส่องยิง 3 ครั้ง แต่เข้ากรอบ 1 ครั้งซึ่งเป็นประตูพาทีมออกนำทันที
จากนั้นในครึ่งหลัง เร้ด แมชีน ยังคงเหนือกว่าโดยสถิติหลังจบเกม 90 นาทีระบุว่าทีมเยือนครองบอลได้ในสัดส่วน 69:31% และได้สับไกทั้งสิ้น 15 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง แต่ไม่มีประตูตอบแทน ขณะที่ เดอะ เชอร์รีส์ ได้ยิง 5 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้งเท่านั้น
มองจากตัวเลข มันจึงชัดเจนว่าทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์รักษามาตรฐานเอาไว้ไม่ได้หลังแสดงท่าว่าจะเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้แล้ว อีกทั้งแทนที่เกมในครึ่งหลังของพวกเขาจะดีขึ้น กลายเป็นว่ามีเพียงการครองบอลเท่านั้นที่น่าพอใจ แต่โอกาสยิง และการส่งบอลเข้ากรอบถดถอยลงจึงทำให้พวกเขามีอันต้องสะดุดอีกคำรบอย่างที่เห็น
5. โมเมนตัม ส่อพลิกผัน
หลังกลับมาออกทะเลอีกรอบด้วยการบุกไปแพ้ทีมรองบ่อน ลิเวอร์พูล ที่กำลังมีโมเมนตัมที่ดีก็ส่อแววถอยหลังลงคลองซะแล้วเนื่องจากโอกาสผงาดขึ้นลุ้นอันดับท็อปโฟร์พลอยได้รับผลกระทบเข้าให้อย่างจัง
ไม่แน่เหมือนกันว่าหลังรับรู้สกอร์ที่ ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม มันอาจส่งผลให้ สเปอร์ส ซึ่งลงสนามทีหลังมีความฮึกเหิมมากขึ้นในเกมต้อนรับ ฟอเรสต์ ก็เป็นได้หลังจากพวกเขาไม่ชนะมานานสามนัดติดต่อกัน และกำชัยเหนือ เจ้าป่า ได้สำเร็จ 3-1 รั้งอันดับสี่ได้ต่อไปโดยทำแต้มหนี หงส์แดง ทีมอันดับห้าเป็นหกแต้ม แม้จะลงเล่นมากกว่า เร้ด แมชีน หนึ่งนัด
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเหลียวหลังกลับไป ลิเวอร์พูล ต้องระวังให้ดีด้วยเนื่องจาก นิวคาสเซิ่ล ซึ่งหล่นมาอยู่อันดับหกไล่ตามทีมจากเมอร์ซียไซด์แค่แต้มเดียว และลงเล่นน้อยกว่าสองนัดซึ่งหากว่าวันอาทิตย์นี้ สาลิกาดง เปิดบ้านสยบ วูล์ฟส์ ได้สำเร็จ พวกเขาก็จะแซงหน้า เร้ด แมชีน ได้ และหมายความว่าเกมแพ้ เดอะ เชอร์รีส์ อย่างพลิกความคาดหมายส่งผลร้ายต่อทีมของ คล็อปป์ เข้าให้จังเบอร์
ไม่เพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าวันพุธนี้ ลิเวอร์พูล จะเปิดศึกกับ เรอัล มาดริด อีกหนที่ เบร์นาเบว เพื่อหาทีมชนะเข้ารอบแปดทีมถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งแม้หงส์แดง จะไม่ได้วาดหวังอะไรมากหลังแพ้แชมป์เก่าคารังอย่างยับเยิน 5-2 แต่ฟุตบอลลูกกลมๆอะไรก็เกิดขึ้นได้ และพวกเขาเองก็เคยสร้างวีรกรรมคัมแบ็คอย่างเหลือเชื่อมาก่อนแล้ว แถม ราชันชุดขาว ก็เป๋ไปนานสามเกมนับตั้งแต่บุกมาหักปีก หงส์แดง ก่อนจะเฝ้าบ้านแซงชนะ เอสปันญ่อล ได้ 3-1 ในเกม ลา ลีกา นัดล่าสุดจึงถือเป็นเรื่องน่าเสียดายแทน ลิเวอร์พูล ที่มันส่งผลกระทบถึงกำลังใจต่อการลงเล่นนัดกลางสัปดาห์โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อย่างไรก็ดี เป็นที่รู้กันว่านาทีนี้ ลิเวอร์พูล เหลือภารกิจแค่ พรีเมียร์ลีก รายการเดียวแล้วในกรณีที่พลิกสถานการณ์กับ เรอัล มาดริด ไม่สำเร็จ ความปราชัยที่มีต่อ บอร์นมัธ จึงอาจส่งผลให้ต้องพลาดโควต้าถ้วยหูใหญ่ได้เลยเพราะหลังเดินทางกลับจากสเปน เร้ด แมชีน ล้วนมีเกมมหาโหดรออยู่สามนัดรวดทั้งแมตช์ปะทะกับ แมนฯ ซิตี้ , เชลซี และ อาร์เซน่อล แต่หากจะเลือกมองในแง่ดีอาจเป็นโชคดีของ ลิเวอร์พูล อยู่เหมือนกันที่มีเกมทีมชาติเข้ามาคั่นกลางซึ่งช่วยทำให้พวกเขาได้หายใจหายคอ และตั้งหลักกันใหม่ก่อนต้องกลับไปทำศึก พรีเมียร์ลีก ในช่วงโค้งสุดท้ายด้วยการเริ่มต้นบุกไปเยือน เรือใบสีฟ้า ที่หวังคว้าสามแต้มเต็มเหนี่ยวเพื่อฉุด อาร์เซน่อล ให้หล่นจากเก้าอี้จ่าฝูงให้ได้