หลังจากช่วงเวลาแห่งความอลหม่าน ลิเวอร์พูลก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่รูปเกมและผลการแข่งขัน
แน่นอนครับบางคนอาจจะยังสงสัยว่าชัยชนะเหนือเอฟเวอร์ตันดีจริงหรือ สามคะแนนเหนือนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ของจริงหรือเปล่า หรือกระทั่งการพิชิต วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อคืนวันพุธก็ย่อมมีข้อสงสัยว่าจะทำได้ตลอดไปไหม
คำถามย่อมเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะก่อนที่จะกลับมาทำผลงานได้ดีไม่แพ้และไม่เสียประตูให้ใคร 4 นัดติดต่อกันในลีก ก็เป็นลิเวอร์พูลทีมเดียวกันนี้แหละที่ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาเอง
โดนเบรนท์ฟอร์ดอัด 3 ลูก เจอไบรท์ตันถลุง 3 ลูก ถูกวูล์ฟแฮมป์ตันบอมบ์ยับอีก 3 ลูก
เสมอเชลซีที่กำลังห่อเหี่ยวไม่แพ้กันแบบจืดชืดไร้สกอร์ที่แอนฟิลด์
จะกลับมาจริงไหมหรือจะทำได้ตลอดไปไหมก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันไป แต่สิ่งที่เรามองเห็นแน่ๆ จาก 4 เกมล่าสุดที่ผ่านมาในลีกก็คือทีมดูดีขึ้นจริงๆ
ทั้งเรื่องสภาพความพร้อมที่นักเตะตัวหลักทยอยกันหายเจ็บกลับมาช่วยทีม ทำให้เจอร์เก้น คล็อปป์ มีตัวเลือกในมือมากขึ้น
ทั้งเรื่องการเล่นในสนามที่ได้เห็นเกมเข้าทำดูลงตัวกว่าเดิม ความผิดพลาดน้อยลง ความเข้าใจระหว่างกันชัดเจนขึ้น
ทั้งเรื่องผลการแข่งขันที่ชนะ 3 เสมอ 1 ในสี่เกมหลังสุดโดยไม่เสียประตูให้ใครเลย ในสี่เกมนี้มีเพียงแมตช์ที่เสมอกับ คริสตัล พาเลซ เท่านั้นที่น่าผิดหวังในแง่ฟอร์มการเล่นและผลที่ออกมา
เกมโต้กลับเริ่มมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว อันตราย มีเป้าหมาย หรือการต่อบอลบุก ทำชิ่งเจาะช่อง กระทั่งกระชากพาบอลไปเอง มันก็ดูดีขึ้นกว่าหลายๆ เกมที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงที่ฟอร์มร่วงหล่นอย่างหนัก
การหายเจ็บกลับมาของตัวหลักอย่าง เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ดีโอโก้ โชต้า โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ รวมถึง อิบราฮิมา โกนาเต้ มีส่วนช่วยอย่างมาก เกมเข่นหมาป่าเมื่อวันพุธการวิ่งปรี่เข้ากดดันคู่แข่งของโชต้าทำได้ดุดันและรวดเร็ว
ดาวเตะโปรตุกีสสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้ไม่น้อยจากวิธีการเล่น ความขยัน ความเร็วและความฉลาดของเขา แล้วยังมีจังหวะพาบอลตะลุยยาวจากกลางสนามเข้าไปเองทำให้แนวรับวูล์ฟส์ตั้งหลักไม่ทันจนเป็นที่มาของประตูที่ถูก VAR ริบคืนไปอย่างน่าเสียดาย
การกลับมาของนักเตะตัวหลักย่อมทำให้มิติของเกมหลากหลายขึ้น จากนี้ถ้าไม่มีใครโชคร้ายเจ็บเพิ่มอีกลิเวอร์พูลก็จะเหลือแค่รอ หลุยส์ ดิอาซ ติอาโก้ อัลกันตาร่า และคนที่เจ็บอื่นๆ คืนสนามมาสมทบ
มันก็เป็นทิศทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับปฏิกิริยาตอบสนองของนักเตะหลายคนในเกมนี้ ฟอร์มของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ดีเยี่ยมมีส่วนร่วมกับเกมทั้งรับและรุก เช่นเดียวกับฝั่งตรงข้าม คอสตาส ซิมิกาส ทำได้สมบูรณ์แบบสำหรับการเป็นแบ๊กซ้ายที่พร้อมกดดันตัวจริงอย่าง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
การหยุดความคล่องและแข็งแกร่งของตัวอันตรายอย่าง อดาม่า ตราโอเร่ ได้ไม่ว่าจะเป็นการดวลตัวต่อตัวหรือแท็กทีมมีเพื่อนเข้ามาช่วยคือความยอดเยี่ยมอีกเรื่องของ "กรีกสเกาเซอร์" ในเกมนี้นอกจากการเติมเกมรุกสวยๆ หลายครั้งและทำแอสซิสต์ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงฝังทีมเยือน
การปักหลักเป็นป้อมปราการคู่ระหว่าง ฟาน ไดค์ กับ โกนาเต้ ก็ไม่มีอะไรผิดพลาดหรือมีความปั่นป่วนน่ากังวล ทั้งสองคนรับมือกับเกมบุกของอาคันตุกะได้อย่างไร้ปัญหา เก็บกินเรียบทั้งบอลเรียดบอลโด่งหรือจังหวะแทงทะลุช่อง ขณะที่การเล่นของฟาบินโญ่ก็ดูเหมือนจะเริ่มฟื้นขึ้นเมื่อได้เล่นร่วมกับ สเตฟาน ไบจ์เซติช ตรงนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาของเจอร์เก้น คล็อปป์ และทีมงานที่ได้ผลออกมาน่าพอใจ
และ ดาร์วิน นูนเญซ.. เป็นอีกเกมที่เขาแสดงผลงานออกมาได้ดี ด้วยความมั่นใจที่มากขึ้นอย่างชัดเจน
ดาวเตะอุรุกวัยยังคงไปกับบอลได้ดีด้วยความเร็วและการกระชากดุดัน แต่สิ่งที่พัฒนาขึ้นจากช่วงแรกๆ คือจังหวะสุดท้าย เกมนี้มีให้เห็นทั้งการผ่านบอลดีๆ และการจบสกอร์ตอนที่ถูก VAR ริบคืน
นูนเญซอาจจะไม่มีผลงานแอสซิสต์หรือประตูในเกมนี้ แต่การได้รับเสียงปรบมือกึกก้องจากเดอะค็อปตอนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามก่อนหมดเวลานาทีเดียวนั้นบอกถึงความพึงพอใจและกำลังใจที่ทุกคนมีให้กับเขาเป็นอย่างดี
เสียงปรบมือนั้นเพื่อขอบคุณในความพยายามและแพสชั่นที่ยังคงทะลักปรอทเหมือนเคย หากที่น่าพอใจยิ่งขึ้นคือเรามองเห็นชัดเจนถึงประสิทธิภาพจากการเล่นของเขาที่นิ่งขึ้นและเยือกเย็นขึ้น แน่นอนครับมันยังไม่สมบูรณ์แบบหรอกแต่ก็เป็นทิศทางที่ดี
น่ายินดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขา ความกดดันคงคลายลงไปมากแล้ว หลังจากนี้ก็เป็นกำลังใจให้เขากันต่อไปให้รักษาผลงานที่กำลังเป็นอยู่ให้สม่ำเสมอและพัฒนาต่อยอดขึ้นไปอีก
มันเป็นช่วง 4 เกมที่ดีสำหรับการต่อสู้ในลีก สิบจากสิบสองคะแนนเต็มที่เก็บได้ทำให้อันดับขยับขึ้นมาท้าทายพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกอย่างเป็นรูปธรรม มันจับต้องได้อยู่ข้างหน้านี้เองทั้งที่เคยถูกดูแคลนจากหลายคนว่าจบแล้ว ทำไม่ได้หรอก
เส้นทางในฤดูกาลนี้ยังเหลืออีก 14 เกม จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ มันอาจจะดีขึ้นไปอีกก็ได้ หรืออาจจะกลับไปสู่อีหรอบเดิมก็ได้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือลิเวอร์พูลทีมนี้ไม่เคยยอมแพ้
มีปัญหาก็พยายามแก้ปัญหาด้วยสติปัญญาตามเงื่อนไขที่มี เจออุปสรรคก็ฮึดสู้กับมันให้เต็มที่เพื่อผ่านพ้นไปให้ได้ ทำงานหนักและอดทนรอคอยโอกาสที่อาจเปิดขึ้นอีกครั้งได้ทุกเมื่อ
โอกาสที่อาจเปิดขึ้นอีกครั้ง.. นักเตะหลักหายเจ็บ ผู้เล่นคืนฟอร์ม ความมั่นใจกลับมาทันเวลา คู่ต่อสู้สะดุดพลาดเอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นโอกาสทั้งสิ้น มันเกิดขึ้นไม่รู้กี่พันกี่หมื่นครั้งแล้วในเกมลูกหนัง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะยังคงเป็นต่อไปในอนาคต
แน่นอนครับ โอกาสอาจจะเปิดให้หรือไม่เปิดให้เราไม่มีวันรู้หรอก เพราะเราบังคับมันไม่ได้
แต่เรากำหนดตัวเราเองได้
ถ้าเราไม่ยอมทิ้งความหวัง เราย่อมยังมีโอกาสคว้ามันได้ แต่ถ้าเรายอมแพ้และสูญสิ้นมันไปแล้ว เราจะไม่มีโอกาสคว้ามันได้เลย
ก็ความหวังที่ยังมีอยู่เสมอไม่ใช่หรือที่พาลิเวอร์พูลกลับมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เหลืออีก 14 เกมในลีก..
แดงเดือดที่รออยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งเกมที่ยังมีอยู่กับ เรอัล มาดริด..
เราไม่รู้อนาคตหรอกครับ แต่ความมีชีวิตชีวาและสิ่งดีๆ ที่เริ่มกลับมาให้เห็นย่อมเป็นเรื่องดีมากกว่าไม่ดีแน่ๆ
ความหวังยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงไม่ทิ้งมันไป
With hope in your heart..
เชื่อมั่นในทีมของเรา ผู้จัดการทีมของเรา นักเตะของเราให้ถึงที่สุด พวกเขาพยายามทำหน้าที่ของเขา พวกเราก็พยายามทำหน้าที่ของเรา แล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็แค่ยอมรับมัน..
ตังกุย