แมนฯ ยูไนเต็ด ยังโชว์ฟอร์มโหดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกรงใจโปรแกรมชุกเลยแม้แต่น้อยเมื่อล่าสุดเปิดบ้านปลิดชีพ เลสเตอร์ 3-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 ก.พ.
แม้จะยังไม่ขอมีเอี่ยวลุ้นซิวแชมป์ พรีเมียร์ลีก แต่ที่แน่ๆ ปีศาจแดง ไล่จี้ อาร์เซน่อล เหลือห้าแต้มแล้ว แม้จะลงสนามมากกว่าหนึ่งนัดจึงต้องรอดูกันต่อว่าจะมีทีมไหนหยุดอหังการของ เร้ด เดวิลส์ ได้อยู่หมัด
1. แม็กไกวร์ ชวดเจอทีมเก่า
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กัปตันทีม แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดการดวลกับอดีตต้นสังกัดเนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ แต่ไม่ร้ายแรง
รวมแล้ว ผีแดง ปรับโผห้าตำแหน่งจากเกมบุกไปเสมอกับ บาร์เซโลน่า 2-2 ในถ้วย ยูโรปาลีก รอบเพลย์ออฟนัดแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ในจำนวนนี้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ กับ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ซึ่งติดโทษแบนหนึ่งนัดในถ้วยยุโรปคัมแบ็ค สวนทางกับ กาเซมีโร่ ซึ่งต้องชดใช้โทษแบนในลีกอังกฤษเป็นนัดสุดท้าย
นอกจากนี้อีกสามรายที่ได้ออกสตาร์ตประกอบไปด้วย วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ , ดีโอโก้ ดาโลต์ และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ขณะที่ อาร่อน วาน บิสซาก้า , ราฟาแอล วาราน , ไทเรลล์ มาลาเซีย และ เจดอน ซานโช่ มีชื่อนั่งข้างสนาม
2. จิ้งจอกชุดเดิม (สำรองแข็งโป๊ก)
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือทีม เลสเตอร์ จัดทัพ 11 ตัวแรกชุดเดิมทุกตำแหน่งจากเกมเฝ้าบ้านขยี้ สเปอร์ส ยับเยิน 4-1 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ที่ บีร็อด ไม่เปลี่ยนทีมตัวจริง
ยิ่งไปกว่านั้น เดอะ ฟ็อกซ์ ยังพร้อมรบเต็มสูบอีกด้วยเนื่องจากได้คีย์แมนอย่าง ยูริ ตีเลอมันส์ กลับมานั่งรอที่ข้างสนามสมทบกับ วิลฟรีด เอ็นดีดี้ และ เจมี่ วาร์ดี้ ที่เป็นตัวสำรองนัดก่อนเช่นกัน
3. แมดดิสัน 150 นัด
เจมส์ แมดดิสัน กัปตัน เดอะ ฟ็อกซ์ ลงเล่นเกมนี้ครบ 150 นัดพอดีในศึก พรีเมียร์ลีก ของตัวเอง
และที่สำคัญ มิดฟิลด์ทีมชาติ อังกฤษ ซึ่งกลับคืนฟอร์มเก่งได้แล้วมีส่วนร่วมกับ 21 ประตูจากการลงเล่นเป็นตัวจริงในลีก 19 นัดหลังด้วยโดยตัวเองกระทุ้งได้ 13 เม็ด และผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมจ้ดการอีก 8 เม็ด
อย่างไรก็ดี แมดดิสัน สอยตาข่าย แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้นานแปดนัดแล้วซึ่งถือว่านานที่สุดในบรรดาคู่แข่งที่เขาเคยต่อกรด้วย และเมื่อรวมเกมล่าสุดก็กินเวลาเก้านัดเข้าไปแล้ว
4. แรชฟอร์ด คือความแตกต่าง
ต้องยอมรับว่า เลสเตอร์ ออกสตาร์ตได้น่ากลัวอย่างยิ่งเนื่องจากบุกขึ้นไปหาโอกาสส่องยิงได้หลายต่อหลายครั้ง ก่อนจะมาโดนทีเด็ดทีขาดของ มาร์คัส แรชฟอร์ด เล่นงานในนาทีที่ 25
ตามสถิติมีการตีแผ่ออกมาว่าก่อนที่เจ้าบ้านจะออกนำชนิดขัดแย้งกับรูปเกม เดอะ ฟ็อกซ์ ได้ส่องยิงมากกว่าถึง 9 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ ผีแดง ได้ยิง 3 ครั้ง และไม่เข้ากรอบเลย
กระทั่งเจ้าบ้านมาได้ดาวยิงทีมชาติอังกฤษสร้างความแตกต่างซัดนำไปก่อน 1-0 จากจังหวะยิงหนที่ 4 ซึ่งกลายเป็นการได้ประตูก่อนทีมเยือนโดยในช่วงนั้นทีมของ เทน ฮาก ครองบอลมากกว่าเล็กน้อย 51:49%
จวบจนจบครึ่งแรกซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด รักษาสกอร์นำได้สำเร็จ พวกเขาครองบอลได้มากกว่า 55:45% แต่เป็น เลสเตอร์ ที่ได้ยิงมากกว่า 11 ครั้งซึ่งเข้ากรอบ 2 ครั้ง และไม่รู้ว่าจะมีทีมไหนได้ง้างไกใส่ ผีแดง ในครึ่งแรกมากเท่านี้มาก่อนหรือเปล่า ขณะที่ ผีแดง ได้ยิงรวม 8 ครั้ง และเข้ากรอบ 1 ครั้งซึ่งเป็นประตูออกนำ
ด้าน แรชฟอร์ด ถึงตอนนี้ตะบันประตูที่ 23 ในซีซั่นแล้วจากทุกรายการซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในอาชีพพ่อค้าแข้งของตัวเขาเองโดยในจำนวน 15 ประตูอุบัติขึ้นหลังจากจบศึก ฟุตบอลโลก 2022 ด้วยซึ่งเจ้าตัวพังประตูได้ครบทุกนัดเหนือกว่านักเตะทุกรายในห้าลีกใหญ่ของยุโรป
ขณะเดียวกัน แรชฟอร์ด ยิงประตูในเกมลีกนัดเหย้าได้ 7 นัดติดต่อกัน (ตั้งแต่ต.ค.2022) ต่อจากที่ เวย์น รูนีย์ เคยทำได้ 8 นัด (ธ.ค.2009-มี.ค.2010) ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยทำได้ 10 นัดรวด (มี.ค.-พ.ย.2008)
5. คลีนชีตของ เด เคอา
นอกจาก แรชฟอร์ด ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักกดได้อีกเม็ดในครึ่งหลังรวมเป็น 24 ประตู เด เคอา ก็เป็นสตาร์อีกรายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่กำลังเล่นได้อย่างท็อปฟอร์มโดยหลังจบเกมสยบ เดอะ ฟ็อกซ์ มือกาวเลือดกระทิงดุเก็บคลีนชีตกับ ผีแดง ได้ในทุกรายการเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรเทียบเท่า ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล นายทวารระดับตำนานเรียบร้อยแล้วที่จำนวน 180 นัด
กระทั่งหลังจบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลได้มากกว่า 57:43% และพลิกมามีโอกาสยิงประตูมากกว่า 26:19 ครั้งโดยซัดเข้ากรอบมากกว่าเช่นกัน 8:3 ครั้งซึ่งเมื่อนับรวมโอกาสยิงของทั้งสองทีมรวมกันแล้ว 45 ครั้งถือเป็นสถิติที่สูงที่สุดในซีซั่นนี้ และสูงที่สุดนับจากเกมใน พรีเมียร์ลีกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ปะทะกับ เบิร์นลีย์ เมื่อเดือนต.ค.2016 (45ครั้งเท่ากัน)
ขณะเดียวกัน เลสเตอร์ กลายเป็นทีมที่เสียประตูมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้เป็นอันดับสองไปแล้ว 41 ประตู เป็นรองแค่ บอร์นมัธ ทีมเดียว 44 ประตู