ความจริง แมนฯ ยูไนเต็ด ควรจะเอาชนะ คริสตัล ทองหล่อ เอ๊ย คริสตัล พาเลซ ได้แบบสบายๆ ไม่ระบมหัวแม่ตีน
แต่เพราะ 'น้ำผึ้ง' เพียงหยดเดียวแท้ๆ ทำให้มันกลายเป็นความยากลำบาก แถมส่งผลเสียหายต่อเนื่องอีกต่างหาก !!!
1.ก่อนอื่นมาดูตัวผู้เล่นของปีศาจแดง
หลังจาก อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หายเจ็บกลับมาลงเป็นตัวสำรอง แถมยังทำประตูได้เมื่อกลางสัปดาห์ ตอนแรก ผมคิดว่าเขาน่าจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกมนี้ แล้วถอด เวาท์ เวกฮอร์สต์ ออกไปเป็นตัวสำรองบ้าง
ปรากฏว่า 'หมาก' หายไปจากทีมอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งตีความเป็นอื่นใดไม่ได้เลย นอกจาก 'บาดเจ็บ' อีกแล้ว
เอริค เทน ฮาก ยังคงยึดผู้เล่น 11 ตัวจริงแบบเดิมๆ
แผงแบ็คโฟร์เหมือนเดิม และลงตัวที่สุดแล้ว
ตรงกลาง เฟร็ด ได้ลงแทน คริสเตียน เอริคเซ่น ที่เจ็บแบบยาวๆ ขณะที่ผู้เล่นใหม่ที่เช่าเขามาอย่าง มาร์เซล ซาบิตเซอร์ วางตูดดูลาดเลาบนม้านั่งสำรองไปก่อน
กองหน้า 3 คนก็เหมือนเดิม
ส่วนการที่ คริสตัล พาเลซ ไม่มีตัวทีเด็ดอย่าง วิลฟรีด ซาฮา ยิ่งทำให้งานของ แมนฯ ยูไนเต็ด เบาลงไปอีก
วัดศักยภาพทีม และฟอร์มการเล่นแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
2.เริ่มเกมได้ไม่กี่นาที 'ปีศาจแดง' ก็ขึ้นนำ 1-0 จากจุดโทษที่ผู้เล่นทีมเยือนทำแฮนด์บอลอย่างชัดเจนในเขตโทษ
หลังขึ้นนำ รูปเกมของเจ้าถิ่นก็ยังเหนือกว่าเยอะนะครับ ครองบอลมากกว่า บุกมากกว่า และมีโอกาสทำประตูมากกว่า
มิหนำยังไม่อนุญาตให้คู่แข่งบุกเข้ามาสักเท่าไหร่
ปัญหาคือไม่สามารถทิ้งห่างเป็น 2-0 เนื่องเพราะลูกทีมของ ปาทริค วิเอร่า เลือกที่จะเล่นเกมรับ ด้วยการถอยลงไปปิดพื้นที่หน้าประตูตัวเองแน่นหนา เพื่อรักษาระยะห่างของสกอร์เอาไว้แค่ประตูเดียวก่อนคล้ายๆ เกมแรกที่เจอกันใน เซลเฮิร์สต์ พาร์ค เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนั่นแหละ
3.'ดิ อีเกิ้ลส์' มาเริ่มเร่งเครื่องพลางเน้นเกมรุกมากขึ้นในครึ่งหลัง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ใส่ความรัดกุม และระมัดระวังเข้าไปมากขึ้นเช่นกัน
นาทีนั้น หัวหอกอย่าง เวาท์ เวกฮอร์สต์ ไม่ค่อยมีประโยชน์แล้วนะครับ เขาจึงถูกถอดออก เพื่อส่ง อเลฮานโดร การ์นาโช่ ลงมากระชากทางฝั่งซ้ายแล้วขยับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปเล่นเป็นหน้าเป้า
ไม่กี่นาทีต่อมา 'แรชชี่' ก็กระทุ้งตาข่ายได้สำเร็จ
แมนฯ ยูไนเต็ด นำห่าง 2-0 ดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวผู้เป็นกุนซือคงทยอยเปลี่ยนตัวผู้เล่นสำคัญออกมาพัก
แต่ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน
จังหวะที่ อันโตนี่ โดนคู่แข่งแถมแล้วออกอาการอย่างกระโดดเตะหน้าคนนำมาซึ่งเหตุการณ์ชุลมุนกึ่งๆ ตะลุมบอนของผู้เล่นทั้ง 2 ทีม ก่อนที่ VAR จะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ตัวเองสามารถแสดงอำนาจออกมาได้
กาเซมิโร่ เหมือนจะบีบคอคู่แข่งจนสมนาคุณด้วยใบแดงได้
4.ผู้ตัดสินอย่าง อังเดร มาร์ริเนอร์ จัดเป็นผู้ตัดสินที่คุณภาพบัดซบมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะครับ ขอบอก
จังหวะ 'แฮนด์บอล' ตอนต้นเกม มันก็ชัดเจนเสียจนมึงไม่จำเป็นต้องวิ่งไปดู VAR ด้วยซ้ำ
กาเซมิโร่ ไม่ถึงกับ 'บีบคอ' คู่แข่งด้วยความรุนแรง และเจตนาแบบ 'เอาตาย' แบบ 'ผีไทย' ประเภทนางตะเคียนสักหน่อยนะครับ
ดู VAR แล้วให้ใบเหลือง ก่อนเรียกมาอบรมหนักๆ ก็น่าจะเพียงพอ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น 'คุณเกษม' ก็ต้องโทษตัวเองนั่นแหละที่ดันเอามือ 2 ข้างขึ้นมาจับคอคู่แข่งแบบนั้น
ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ 'เก๋าเกม' ซะขนาดนั้น รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แค่ผลักอกก็คงไม่มีอะไร การเอามือขึ้นมาจับคอคู่แข่งจึงมีค่าเท่ากับการ 'เสียค่าโง่'
การเหลือผู้เล่นน้อยกว่าว่าแย่แล้ว การไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง 'กาเซ' ก็เสียหาย เพราะทำให้ คริสตัล พาเลซ กล้าบุกแบบเต็มตัว
นับตั้งแต่นั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ออกอาการตุปัดตุเป๋ไปเลย ก่อนจะถูกตีไข่แตกจนนำมาซึ่งความตึงเครียดและกดดันอย่างจงหนัก
...ว่าแล้วขอตำหนิ เอริค เทน ฮาก เล็กน้อย
เมื่อเหลือผู้เล่น 10 คน แถมไม่มีมิดฟิลด์ตัวรับคนสำคัญ กุนซือชาวดัตช์ ควรจะถอด อันโตนี่ ที่ไม่มีประโยชน์อะไรในสถานการณ์นั้นออก แล้วส่งมิดฟิลด์อย่าง มาร์เซล ซาบิตเซอร์ หรือ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ก็ได้มาอัดตรงกลาง เพื่อเบรคเกมของคู่ต่อสู้
แต่พี่แกกลับปล่อยให้ตรงกลางมีรูโหว่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับต่อไปจนกระทั่งเสียประตูจนได้ค่อยส่งมิดฟิลด์ตัวใหม่ลงมา
5.เรียนตามตรงว่ายังดีนะครับที่เกมรุกของ คริสตัล พาเลซ ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพสักเท่าไหร่
มิเช่นนั้นคง 'เด๊ดห่า' ไปเรียบร้อย
หาก เอริค เทน ฮาก ตัดสินใจเร็วกว่านี้ บางที แมนฯ ยูไนเต็ด อาจไม่เสียประตูด้วยซ้ำ
ผลของการถูกใบแดงตะเพิดออกจากสนามทำให้ กาเซมิโร่ ต้องติดโทษแบนถึง 3 นัด ในสงครามกุหลาบกับ ลีดส์ 2 นัด และเลสเตอร์ 1 นัด อันส่งผลกระทบต่อคุณภาพทีมแน่นอน
แต่หากมองโลกให้เป็นสีชมพูเหมือนกางเกงในลายก๊อดซิลล่าของคุณครูมิโดริ คิดเสียว่าเป็นการพัก กาเซมิโร่ ไปในตัว อีกทั้งยังได้ใช้กองกลางคนใหม่อย่างพี่เทียร์รี่ เด๊บบ์ เมฆวัฒนา อย่างเต็มที่ไปเลย
บอ.บู๋