ในที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ออกอาการสะดุดเข้าให้ซะแล้วเมื่อบุกไปโดน คริสตัล พาเลซ แบ่งแต้ม 1-1 ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม เซลเฮิร์สพาร์ค เมื่อวันพุธที่ 18 ม.ค. ซึ่งถือได้ว่าส่งผลเสียหายอย่างแรงต่อโอกาสได้ลุ้นคว้าแชมป์ลีก
ทั้งนี้เพราะนอกจากจะพลาดการเก็บสามแต้มเต็มแล้ว กาเซมีโร่ กองกลางทีมชาติ บราซิล ยังหมดสิทธิ์ลงเล่นเกมหน้ากับทีม ปืนใหญ่ ด้วยหลังสะสมใบเหลืองเพิ่มซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านับเป็นข่าวร้ายของ ผีแดง และเป็นข่าวดีของทีมจ่าฝูง
1.เจ้าถิ่นหมุนทีมสี่ตำแหน่ง
ปาทริค วิเอร่า กุนซือทีม คริสตัล พาเลซ จัดทัพรับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยการเปลี่ยนโผตัวจริงสี่รายจากเกมลีกที่บุกไปพ่าย เชลซี 1-0
ในจำนวนนี้ คริส ริชาร์ดส์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติ สหรัฐฯ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก นัดแรกเสียบแทน โยอาคิม อันเดอร์สัน ที่บาดเจ็บ
นอกนั้นอีกสามรายได้แก่ วิลล์ ฮิวจ์ส กองกลางที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกซีซั่นนี้เกมแรก , อ็อดซอนน์ เอดูอาร์ และ ฌอง ฟิลลิปป์ มาเตต้า ที่เบียด เอเบเรชี่ เอเซ่ , จอร์แดน อายิว และ เจฟฟรีย์ ชลุปป์ ลงไปนั่งเป็นตัวสำรอง
2. เว็กฮอร์สต์ ออกสตาร์ต , ผีปรับทัพสามราย
เอริค เทน ฮาก กุนซือทีม แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างความฮือฮาด้วยการส่ง เวาท์ เว็กฮอร์สต์ กองหน้าที่ยืมมาจาก เบซิคตัส ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันทีในเกมประเดิมสนามของเขาแทนที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่มีปัญหาบาดเจ็บ และไม่มีส่วนร่วมกับเกมนี้
รวมแล้ว ผีแดง เปลี่ยนโผจากเกมเปิดบ้านสยบ แมนฯ ซิตี้ 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสามรายโดย ลิซานโดร มาร์ติเนซ ได้ลงเล่นแทน ไทเรลล์ มาลาเซีย เป็นการฉลองวันเกิดอายุครบ 25 ปีพอดีของกองหลัง แชมป์โลก และทำให้ ลุค ชอว์ กลับไปรับภาระแบ็คซ้ายตามเดิม
นอกจากนี้ อันโตนี่ ก็กลับสู่โผตัวจริงแทน เฟร็ด ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ฟิตมากพอที่จะลงสนามได้
3. เว็กฮอร์สต์ ไหวมั้ย?
อาจเป็นเพียงแค่เกมแรกของสตาร์ชาวเมืองกังหันลมกับ ปีศาจแดง แต่เท่าที่ได้เห็นหน่วยก้านของ เว็กฮอร์สต์ คล้ายกับว่า เทน ฮาก อาจเลือกเซ็นสัญญากับศูนย์หน้าผิดคนก็เป็นได้
โอเคว่ากุนซือสกินเฮดมีเจตนารมณ์ต้องการหัวหอกขนานแท้ที่จะคอยปักหลักอยู่ข้างหน้า และถ้าเล่นลูกกลางอากาศได้ฉมังก็ยิ่งแจ๋วใหญ่จึงทำให้หวยไปลงที่ดาวยิงทีม เบิร์นลีย์ แม้ว่า ผีแดง จะโดนลือกับศูนย์หน้าเป็นร้อยๆราย
อย่างไรเสีย จากที่เห็นใน 45 นาทีแรกที่ เซลเฮิร์สพาร์ค เว็กฮอร์สต์ ออกจะงุ่มง่ามเกินไป และไร้สปีดซึ่งทำให้เขาไม่ทันการเล่นเกมรุกที่เร็วจัดของ แมนฯ ยูไนเต็ด สักเท่าไหร่
นอกจากโอกาสขึ้นโขกที่ไม่ตรงกรอบ สตาร์หน้าใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็แทบทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ดีที่ว่าก่อนจบครึ่งแรกไม่นาน คริสเตียน เอริคเซ่น ตวัดบอลจากกราบซ้ายให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซัดตุงตาข่ายพา แมนฯ ยูไนเต็ด นำหน้า 1-0 จนได้
ถึงตอนนี้ กองกลางโปรตุกีสจึงยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน 20 ลูกเท่ากันแล้วซึ่งมีนักเตะแค่สี่รายที่มีผลงานยอดเยี่ยมทัดเทียมกันนับตั้งแต่ แฟร์นันด์ส ประเดิมสนามในเดือนก.พ.2020 ซึ่งประกอบไปด้วย แฮร์รี่ เคน , โม ซาลาห์ และ ซน ฮึง มิน
จากนั้นในครึ่งหลัง เว็กฮอร์สต์ ยังได้อยู่ในสนามต่อจนถึงนาทีที่ 70 ก่อนโดนเปลี่ยนออกไปพร้อมกับ อันโตนี่ ที่ฟอร์มถดถอยลงทุกที ต่างไปจากช่วงต้นซีซั่นให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ลงบู๊แทน
4. เทน ฮาก คิดผิดทำ กาเซมีโร่ โดนแบน?
เป็นเรื่องเกินความคาดหมายเช่นกันที่โผ 11 ตัวจริงของ แมนฯ ยูไนเต็ด นัดบุกมาเยือน พาเลซ มี กาเซมีโร่ ออกสตาร์ตทั้งๆที่เขาสะสมใบเหลืองไปแล้วสี่ใบเนื่องจากผู้สันทัดกรณีคาดว่า เทน ฮาก น่าจะเก็บมิดฟิลด์คนสำคัญพักเอาไว้บู๊กับ อาร์เซน่อล มากกว่า
และแล้ว เรื่องที่แฟน ผีแดง ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นจนได้ในช่วงสิบนาทีสุดท้ายเมื่อ กาเซมีโร่ จำเป็นต้องตัดฟาวล์จังหวะอันตรายป้องกันไม่ให้ วิลฟรีด ซาฮา กระชากบอลเข้าเขตโทษพร้อมรับใบเหลืองซึ่งจะทำให้ดาวเตะแซมบ้าชวดฟาดเกือกกับ เดอะ กันเนอร์ส ตามระเบียบอันอาจบอกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอีกประเด็นของ เทน ฮาก
อย่างไรก็ดี เกมแรกที่ ผีแดง เปิดบ้านเอาชนะ อาร์เซน่อลได้ 3-1 เทน ฮาก ไม่ได้ส่ง กาเซมีโร่ ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง แฟนบอล ผีแดง จึงต้องรอลุ้นกันว่าทีมรักจะย้ำแค้นจ่าฝูงได้สำเร็จ หรือว่าจะเสียศูนย์ติดต่อกันเป็นนัดที่สอง
5. สถิติที่โดนทำลาย
นับจากออกสตาร์ตครึ่งหลัง พาเลซ เดินเกมรุกอย่างดุดัน และสร้างปัญหาให้กับ ผีแดง เป็นระยะ
กระทั่งเข้าสู่ครึ่งทาง แมนฯ ยูไนเต็ด ดูเหมือนอ่อนระโหยโรยแรงไม่อาจเก็บครองบอลได้ดีเหมือนช่วงครึ่งแรก และถูกโจมตีใส่แดนอันตรายมากขึ้นเป็นลำดับ
จนในที่สุดช่วงทดเวลา อาคันตุกะก็เสียท่าให้กับเจ้าบ้านจนได้เมื่อเสียลูกฟรีคิกระยะอันตราย แถม ไมเคิ่ล โอลิเซ่ ซัดตุงตาข่ายอย่างงดงามซะด้วย และส่งผลให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีเวลามากพอที่จะควานหาประตูที่สองโดยจำเป็นต้องแบ่งแต้มให้กับ ดิ อีเกิ้ลส์ ไปตามระเบียบ
จากสถิติในครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลได้มากกว่า 63:37% และได้ยิง 10 ครั้ง เข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ พาเลซ ได้ยิง 3 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง
จากนั้นหลังจบ 90 นาที สถิติฟ้องให้เห็นว่า ผีแดง ออกอาการป้อแป้ และทำได้แค่เสมอจนได้เนื่องจาก พาเลซ สบโอกาสสับไกเพิ่มขึ้นรวม 10 ครั้ง และเข้ากรอบ 5 ครั้งซึ่งมีอยู่สองครั้งเห็นๆที่ ดาบิด เด เคอา ต้องโชว์ซูเปอร์เซฟ ขณะที่ทีมเยือนได้ยิงรวม 15 ครั้ง และเข้ากรอบน้อยกว่าซะอีกแค่ 4 ครั้งเท่านั้นแม้เปอร์เซนต์การครองบอลจะยังเหนือกว่า 61:39%
จากผลลัพธ์ดังกล่าว ทำให้ทีม ผีแดง เสียสถิติยิงนำก่อนและชนะรวด 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยก่อนหน้านี้พวกเขาชนะมาตลอด 15 นัดในเกม พรีเมียร์ลีก หากสามารถขึ้นนำทีมคู่แข่งได้ก่อน
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ผลเสมอที่ลอนดอนทำให้โอกาสลุ้นคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ลดลงไปอย่างน่าเสียดายเนื่องจากพวกเขาไม่อาจลดช่องว่างของคะแนนที่มีกับทีมจ่าฝูงได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยก่อนที่ทั้งสองทีมจะบู๊กันที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ในวันอาทิตย์นี้