เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่แล้วมั้งสำหรับฟอร์มของ อาร์เซน่อล ในซีซั่นนี้ซึ่งไม่เพียงจะรักษาเก้าอี้จ่าฝูงได้อย่างเหนียวแน่น แต่ยังโกยแต้มหนี แมนฯ ซิตี้ แชมป์เก่า เพิ่มเป็น 8 แต้มแล้วหลังประกาศศักดาบุกไปคว่ำ สเปอร์ส อริร่วมเมืองได้อย่างไม่ยากเย็น 2-0 ในการฟาดแข้งที่สนาม ท๊อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ม.ค.
ถึงนาทีนี้ ไม่รู้ว่าร้านรับพนันจะยอมยกให้ อาร์เซน่อล เป็นเต็งจ๋าที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก แทนที่จะเป็น แมนฯ ซิตี้ ได้แล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆพวกเขาบุกมาเก็บสามแต้มในเล้าไก่ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2014 ซึ่งเกมนั้นกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า เป็นกัปตัน ปืนใหญ่ ซะด้วย
1. น้องไก่ได้ ริชาร์ลิซอน นั่งสำรอง
ถือเป็นข่าวดีไม่น้อยสำหรับ สเปอร์ส เนื่องจาก ริชาร์ลิซอน กองหน้าทีมชาติ บราซิล สลัดอาการบาดเจ็บทิ้งไปได้แล้ว และมีชื่อนั่งเป็นตัวสำรองที่ข้างสนาม
สำหรับโผ 11 ตัวจริง เจ้าบ้านได้ เดยัน คูลูเซฟสกี้ หายเดี้ยงกลับมาลงบู๊ อีกทั้ง อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซืออิตาเลี่ยนทำเซอร์ไพรส์ตัดสินใจส่ง ป๊าป ซาร์ มิดฟิลด์วัย 20 ปีออกสตาร์ตเป็นตัวจริงเกมแรกด้วย
รวมแล้ว สเปอร์ส ปรับทัพสามตำแหน่งจากนัดล่าสุดที่บุกไปยำใหญ่ คริสตัล พาเลซ 4-0 โดยนอกจาก คูลูเซฟสกี้ และ ซาร์ แล้ว ไรอัน เซสเซยง ก็ได้ลงเล่นเป็นวิงแบ็คฝั่งซ้ายก่อนหน้า อีวาน เปริซิช ที่หล่นไปนั่งข้างสนามร่วมกับ ไบอัน กิล และ โอลิเวอร์ สคิปป์
อย่างไรก็ดี หากจะเทียบจากเกมล่าสุดที่ ไก่เดือยทอง เฝ้าบ้านเฉือนชนะ พอร์ทสมัธ 1-0 ในศึก เอฟเอคัพ คอนเต้ เปลี่ยนนักเตะตัวจริงรวมทั้งสิ้นเจ็ดรายด้วยกัน
2. สถิติของ โยริส - อาถรรพ์ของ ดายเออร์
ต่อการได้ลงเล่นเกมบู๊กับ อาร์เซน่อล ส่งผลให้ อูโก้ โยริส นายทวาร สเปอร์ส สร้างสถิติลงสนามในเกม นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ สำหรับศึก พรีเมียร์ลีก มากที่สุด 22 นัดเท่ากับ โซล แคมป์เบลล์ แล้ว
แต่ทั้งนี้ อดีตกองหลังทีมชาติ อังกฤษ สร้างชื่อในทางลบเนื่องจากย้ายจากทีม สเปอร์ส ไปเล่นให้ อาร์เซน่อล คู่แค้นเบอร์หนึ่งหน้าตาเฉยโดย "บิ๊กโซล" ลงเล่นดังกล่าวให้กับ ไก่เดือยทอง 14 นัด และลงบู๊ให้ทีม ปืนใหญ่ 8 นัด
สำหรับ เอริค ดายเออร์ การลงเล่นเกมนี้เป็นการฉลองวันเกิดอายุครบ 29 ปีของเขาพอดีเนื่องจากเจ้าตัวลืมตาดูโลกวันที่ 15 ม.ค.1994
อย่างไรก็ดี มีอาถรรพ์ที่น่าสนใจเช่นกันเนื่องจากสถิติเผยว่านักเตะที่ลงเล่นเกม นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ ตรงกับวันเกิดก่อนหน้านี้ห้ารายไม่เคยได้ฉลองเลยเนื่องจากไม่อาจพาทีมกำชัยได้ไม่ว่าจะเป็น เลส เฟอร์ดินานด์ (เสมอ) , โรแบร์ ปีแรส (เสมอ) , เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ (แพ้) , ไคล นอห์ตัน (แพ้) และ โทบี้ อันเดอร์ไวเรลด์ (เสมอ) แม้ในรายของ ปีแรส และ อเดบายอร์ จะซัดประตูได้ก็ตาม
3. ปืนชุดเดิมจากเกมเจ๊าสาลิกา
สำหรับ อาร์เซน่อล มีการปรับโผตัวจริงเจ็ดรายเช่นกันจากเกมบุกไปขยี้ อ๊อกซ์ฟอร์ด 3-0 ในศึก เอฟเอคัพ โดยเหลือแค่ บูคาโย่ ซาก้า , กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ , กาเบรียล มากัลเญส และ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงต่อ
ถึงกระนั้น หากยึดจากเกม พรีเมียร์ลีก ที่ เดอะ กันเนอร์ส เปิดบ้านเจ๊ากับ นิวคาสเซิ่ล 0-0 เมื่อวันที่ 3 ม.ค. อาร์เตต้า นายใหญ่สแปนิชจัดทัพชุดเดิมทุกตำแหน่งลงสนาม
4. ครึ่งแรกทีมเยือนสนุกอยู่ข้างเดียว
สมศักดิ์ศรีทีมจ่าฝูงอย่างแท้จริงสำหรับ อาร์เซน่อล ซึ่งบุกมาเยือนรังของ สเปอร์ส แท้ๆ แต่เล่นได้อย่างน่าเกรงขามประดุจลงบู๊ในถิ่นของตัวเองก็ไม่ปาน
และฉับพลันทันใดในนาทีที่ 14 บูคาโย่ ซาก้า ก็โจมตีทางฝั่งขวาก่อนซัดบอลมุมแคบแฉลบ แซสเซอญง เข้าประตู แต่เป็นจังหวะที่ โยริส ปัดไม่หลุด จึงเป็นการทำบอลเข้าประตูตัวเองอย่างโชคร้ายของอดีตนายด่านตาข่ายทีมชาติ ฝรั่งเศส เพราะจังหวะกระชั้นชิดแบบนั้นเราไม่อาจกล่าวตำหนิผู้รักษาประตูได้เลย
ขณะเดียวกัน มีการยืนยันว่า โยริส สกัดบอลเข้าประตูตัวเองเป็นเม็ดแรกด้วยจากการเฝ้าตาข่ายในเกม พรีเมียร์ลีก มานานถึง 354 นัด
เท่านั้นไม่พอ นาทีที่ 36 สเปอร์ส ทรุดหนักเข้าไปอีกเมื่อโดน มาร์ติน โอเดการ์ด ส่องเรียดจากหน้าเขตโทษเสียบมุมอย่างงดงามพา อาร์เซน่อล ทิ้งห่าง 2-0 ในช่วง 45 นาทีแรกซึ่งถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งเนื่องจาก เดอะ กันเนอร์ส เหนือกว่าทุกด้านทั้งการครองบอล 56:44% ทั้งโอกาสยิง 9 ครั้งที่เข้ากรอบ 3 ครั้ง และเป็น 2 ประตู ขณะที่ ไก่เดือยทอง ได้ยิง 4 ครั้ง และเข้ากรอบ 2 ครั้ง
สำหรับ โอเดการ์ด ดาวเตะทีมชาติ นอรเวย์ ซึ่งโชว์ฟอร์มในลีกอิงลิชได้อย่างน่าประทับใจผงาดเป็นดาวซัลโวของ อาร์เซน่อล ในตอนนี้ไปแล้วหากจะนับรวมทุกรายการ แต่ถ้าจะว่ากันเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อดีตขุนพลทีม เรอัล มาดริด กระทุ้งให้ทีมเมืองกรุงของอังกฤษไปแล้ว 8 เม็ดซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขาเทียบเท่ากับตลอดทั้งซีซั่นที่กองกลางวัย 24 ปีเคยทำได้กับ วิเทสส์ ช่วงที่ถูก ราชันชุดขาว ปล่อยออกไปแบบยืมตัวในซีซั่น 2018/19
5. อีกสี่เกมตัดสินแชมป์?
กลับเข้าครึ่งหลัง ทีมของ คอนเต้ พลิกเกมกลับมาบุกใส่ อาร์เซน่อล ได้ดีขึ้น เพียงแต่จังหวะสุดท้ายไม่มีความอันตรายมากพอจึงหมดสิทธิ์ทวงสกอร์คืน และปราชัยไปตามระเบียบ
อย่างไรก็ดี อย่างน้อยๆหลังครบ 90 นาทีต้องยอมรับว่า สเปอร์ส สู้ยิบตาไม่ปล่อยให้ทีมเยือนกำชัยออกไปแบบง่ายๆแม้จะไม่ประสบผลสำเร็จก็ตามเพราะจากที่เห็นทีมเจ้าบ้านพลิกมาเป็นฝ่ายครองบอลได้เหนือกว่า 51:49% และได้สับไกมากกว่า 17 ครั้ง เข้ากรอบ 7 ครั้ง แต่ไม่ผ่านมือ แรมสเดล ขณะที่ ปืนโต ได้ยิงประตูรวม 14 ครั้ง และเข้ากรอบ 5 ครั้ง
จนถึงขณะนี้ หลังเก็บเพิ่มอีกสามแต้ม อาร์เซน่อล ก็ทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ออกไปเป็น 8 แต้มแล้ว และจากฟอร์มที่เสมอต้นเสมอปลายไม่มีวี่แววว่าจะแผ่วของพวกเขา ประกอบกับผลงานที่ถดถอยในซีซั่นนี้ของ เรือใบสีฟ้า บางทีอีกสี่เกมข้างหน้า การคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของทีม ปืนใหญ่ น่าจะชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นหลังจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลาร์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทำนองยกธงขาวเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ หลังบุกมาล้างแค้น สเปอร์ส จากที่เคยแพ้ท้ายซีซั่นก่อน 3-0 จนพลาดคว้าอันดับท็อปโฟร์ อาร์เซน่อล ก็มีภารกิจนัดต่อไปด้วยการเปิดบ้านชำระหนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เอริค เทน ฮาก ในวันที่ 22 ม.ค.หลังเคยพ่ายต่อ ผีแดง 3-1 ในเกมแรกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นความปราชัยเพียงนัดเดียวในซีซั่นนี้ของพวกเขาด้วย
ถัดจากนั้น เดอะ กันเนอร์ส จะบุกไปดวลกับ แมนฯ ซิตี้ ในเกม เอฟเอคัพ รอบสี่วันที่ 27 ม.ค.ก่อนกลับมาลงเล่นในลีกบู๊กับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน พาร์ค ต่อด้วยการปะทะกับ เบรนท์ฟอร์ด และต่อกรกับ เรือใบสีฟ้า ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทั้งสองนัด
ฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ว่าหาก อาร์เซน่อล ฟันฝ่าสี่เกมข้างหน้านี้ได้โดยมีแต้มติดมือเป็นกอบเป็นกำ มันก็น่าจะบ่งบอกได้ว่าโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ของทีม ปืนโต ใกล้เป็นจริงมากขึ้นทุกทีแล้ว
- โปรแกรม พรีเมียร์ลีก อีกสี่นัดข้างหน้าของ อาร์เซน่อล
22 ม.ค. แมนฯ ยูไนเต็ด (เหย้า)
4 ก.พ. เอฟเวอร์ตัน (เยือน)
11 ก.พ. เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า)
15 ก.พ. แมนฯ ซิตี้ (เหย้า)