เจมี่ คาร์ราเกอร์ ระบุ ต่อให้ได้เงินมากกว่าเดิมตนก็จะไม่มีวันตกลงไปทำงานให้ลีกของ ซาอุดี อาระเบีย พร้อมบอกว่าลีกของที่นั่นไม่ได้น่าสนใจอะไรเลยด้วย
เจมี่ คาร์ราเกอร์ ประกาศชัดจะไม่มีวันไปบรรยายหรือวิเคราะห์เกมการแข่งขันของศึก ซาอุดี โปรลีก ต่อให้จะได้รับเงินมากกว่าการทำงานในปัจจุบันถึง 4 เท่าก็ตาม
ช่วงที่ผ่านมาสโมสรในลีกซาอุดี อาระเบีย ทำการทุ่มเงินอย่างหนักเพื่อดึงนักเตะหลายรายที่เล่นในทวีปยุโรปไปเล่นกับพวกเขา ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีคนดังอยู่ด้วย อย่างเช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีการเอาคนดังในวงการฟุตบอลบางคนไปทำงานเป็นกุนซือเช่นกัน ซึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่ไปคุม อัล-เอตติฟาค
การไปทำงานที่นั่นของ เจอร์ราร์ด กับ เฮนเดอร์สัน ทำให้ทั้งคู่โดนบางคนตำหนิไปด้วย เพราะพวกเขาเคยถูกมองว่าสนับสนุนกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ในขณะที่ ซาอุดี อาระเบีย มีชื่อเสียงย่ำแย่หลายอย่าง อาทิเช่น การกีดกันกลุ่มความหลากหลายทางเพศ และการไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา คาร์ราเกอร์ มักจะพูดเชิงตำหนิ ซาอุดี อาระเบีย อย่างหนักในประเด็นด้านสังคม และหลังจาก เจอร์ราร์ด กับ เฮนเดอร์สัน ไปทำงานกับทีมในลีกของเศรษฐีน้ำมันแล้วนั้นหลายคนก็มักจะถามว่า คาร์ราเกอร์ คิดยังไงกับเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่เขามักจะพูดยกย่อง เจอร์ราร์ด กับ เฮนเดอร์สัน อยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ทั้งหมดเคยอยู่กับ ลิเวอร์พูล
คาร์ราเกอร์ กล่าวผ่านคอลัมน์ของตัวเองใน เดอะ เทเลกราฟ สื่อของเมืองผู้ดีว่า "นับตั้งแต่ที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปคุมทีมที่ ซาอุดี โปรลีก และเปิดช่องเอา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ลิเวอร์พูล ไปร่วมงานกับเขาแล้วน่ะ ผมก็โดนถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเขาถึงหลายครั้งจนถึงขนาดที่มันทำให้คุณคิดว่าผมคงจะตามพวกเขาไปทำงานที่นั่นด้วย"
"คือผมไม่ใช่โฆษกของพวกเขานะ เวลาผมพูดอะไรมันก็เป็นการพูดเพื่อตัวของผมเอง ไม่ใช่พูดแทนคนที่ผมเคารพ แต่หลังจากผมประเมินเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียจากการเลือกของพวกเขาแล้ว ผมก็พร้อมที่จะพูดว่า ต่อให้ผมจะได้รับค่าแรงมากกว่าเดิม 4 เท่าเพื่อให้ผมบอกลา สกายสปอร์ตส์ กับ ซีบีเอส แล้วไปทำงานกับ ซาอุดี โปรลีก ผมก็จะตอบปฏิเสธไปอยู่ดี"
"ทำไมน่ะเหรอ ? เพราะผมชอบที่จะดูฟุตบอลและวิเคราะห์เกมฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกไง ซึ่งตอนนี้รายการที่เข้าข่ายนั้นก็คือ พรีเมียร์ลีก กับ แชมเปี้ยนส์ ลีก ผมคงไม่มีวันทำงานแบบมีชีวิตชีวาได้ในตอนที่บรรยายเกมของลีกที่เต็มไปด้วยนักเตะที่ถือว่าเลยจุดพีคของตัวเองไปแล้ว รวมถึงเป็นลีกที่ไม่มีประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมอะไรเลยด้วย"