ในวันเก่าๆ ที่แสนจะมีความสุขของผม.. ผมได้รู้จักฟุตบอล
และเมื่อผมได้รู้จักฟุตบอล.. ผมก็ได้รู้จักเปเล่
อันที่จริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยล่ะครับที่เด็กวัยผมในห้วงเวลาแห่งอดีตเมื่อ 30-40 ปีก่อนที่สนใจฟุตบอลจะหลบเลี่ยงชื่อนี้ได้พ้น เพราะถ้าพูดถึงฟุตบอลก็ต้องเปเล่..
เปเล่เท่านั้น
เคยเห็นเขาเล่นฟุตบอลกับตาไหมก็ไม่ เพียงแค่ยินเสียงเล่าลือจากคุณพ่อคุณลุงคุณอา หรือจินตนาการเอาจากตัวหนังสือที่ได้อ่าน เราก็รับรู้ได้ว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก
เป็นอัญมณีล้ำค่าแห่งวงการ เป็นเพชรยอดมงกุฏที่ใครก็ปรารถนา
เป็นดั่งสัญลักษณ์ของฟุตบอล
เปเล่ ก็คือ ฟุตบอล..
มันก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรคำยกย่องเขาถึงได้สูงส่งขนาดนั้น มันดูเวอร์วัง อลังการ และอาจทำให้ใครบางคนยิ้มเยาะ.. เหอะ.. มันขนาดนั้นเลยหรือ
แต่มันก็ขนาดนั้นแหละครับ เปเล่ คือเบอร์หนึ่งแบบยืนหนึ่งตลอดกาลจริงๆ สำหรับการรับรู้และความรู้สึกของเด็กวัยผม
เปเล่ เป็นตัวแทนแห่งความศรัทธา เด็กในวัยผมรับรู้ความยิ่งใหญ่ของเขาและยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งหรือตั้งคำถามใดๆ จะว่าหูเบาเชื่อคนง่ายหรือยังเด็กกลั่นกรองอะไรไม่เป็นก็คงไม่ใช่ เพราะก็ผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะทั้งนั้นนี่หว่าที่พร่ำบอกกับเราว่ามันเป็นอย่างนั้น
บอกกับเราผ่านช่วงเวลาอบอุ่นที่ได้นั่งดูฟุตบอลด้วยกัน บอกกับเราผ่านบทความ คอลัมน์ หรือสกู๊ปพิเศษมากมายทางหน้าหนังสือ
บอกกับเราผ่านปลายปากกาของนักเขียนนักข่าวชั้นครู รวมทั้งบอกกับเราตอนที่โตขึ้นอีกนิดผ่านภาพยนตร์หรือหนังสารคดีที่พอจะทำให้มีโอกาสได้ยลลีลาของเขาเป็นภาพเคลื่อนไหวบ้าง
เรื่องราวเหล่านั้นล้วนบอกกับเราว่าเขาคือราชัน เขาเป็นราชา
ราชาลูกหนังโลก "ไข่มุกดำ" เปเล่
ไม่มีทางเลยครับที่เด็กวัยผมจะหลุดพ้นจากชื่อนี้ไปได้
เปเล่.. เปเล่.. เปเล่..
สำหรับผมที่ยังเด็กและข้อจำกัดเรื่องข้อมูลข่าวสารภาพเคลื่อนไหวในยุคนั้นทำให้ภาพจำของเปเล่มีไม่มากหรอกครับ
แต่แค่ที่ว่าไม่มากนั้น มันก็กระทุ้งหัวใจทุกดอก
ผมจำความรู้สึกนั้นได้แม่นยำที่สุด จนถึงวันนี้ก็ยังรู้สึกถึงมันอย่างเต็มเปี่ยมราวกับว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
มันคือความรู้สึกตอนที่ได้เห็น เปเล่ วิ่งข้ามบอลหลอกผู้รักษาประตูแล้วอ้อมกลับไปตวัดยิง
น่าเสียดายที่ลูกนั้นไม่เป็นประตู มันค่อยๆ กลิ้งผ่านกองหลังคนหนึ่งที่ถลำหน้าคะมำไปแล้วแต่บอลไหลหลุดออกไปทางเสาสอง
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ครั้งแรกที่ได้เห็น.. มันว้าว มันตื่นเต้น มันมีความสุข คือตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะตื่นตาตื่นใจได้น่ะครับ
ตอนที่เห็นครั้งแรกนั่นไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ภายหลังถึงได้มารู้ว่ามันคือรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก ปี 1970 และผู้รักษาประตูที่ตกเป็นเหยื่อของเปเล่ในเกมนั้นคือ ลาดิสเลา มาซูร์คีวิซ นายทวารเชื้อสายโปแลนด์/สเปน ของทีมชาติอุรุกวัยซึ่งมีดีกรีเป็นถึงผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นต์
นั่นคือภาพจำที่ชัดเจนที่สุด ติดตาตรึงใจที่สุด และทรงอิทธิพลที่สุดสำหรับผมถ้าพูดถึงเปเล่
มันก็น่าแปลกนะครับ มันไม่ยักกะเป็นประตูสวยๆ หรือจังหวะร้ายกาจอื่นๆ ที่เขาทำได้ไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งอันทรงพลังให้บราซิลขึ้นนำอิตาลีในนัดชิงที่อัซเตก้า ลูกโหม่งที่ตะโกนว่า "เรียบร้อยยยย" ไปแล้วก่อนจะถูก กอร์ดอน แบงค์ส พุ่งปัดข้ามคาน ลูกที่ไหลให้ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ยิงปิดฉากฟุตบอลโลก ปี 1970 ลูกจักรยานอากาศที่สมบูรณ์แบบ หรือประตูที่ยิงใส่สวีเดนในนัดชิงฟุตบอลโลก ปี 1958
ทุกจังหวะเหล่านั้นต่างก็อยู่ในความทรงจำทั้งสิ้นล่ะครับ แต่ก็นั่นแหละ ความเหนือชั้นของเขาในจังหวะหลอก มาซูร์คีวิซ มันน่าทึ่งและตรึงใจยิ่งกว่าสำหรับผมในวัยนั้น
มันทำไม่ยากหรอกครับแค่วิ่งผ่านบอลจนนายประตูหลงทางแล้วค่อยอ้อมกลับไปยิง แต่เขาคิดได้ยังไงในวินาทีนั้น และที่สำคัญคือนอกจากคิดได้ยังไงแล้ว เขายังกล้าทำออกมาได้ยังไงในเกมชี้เป็นชี้ตายอย่างนั้น นั่นรอบตัดเชือกฟุตบอลโลกนะ!
จังหวะนั้นของเปเล่คงไม่ได้ว้าวอะไรมากมายในสมัยนี้หรอกครับเพราะเราได้เห็นความเหนือชั้นลักษณะนั้นกันบ่อยๆ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าฟุตบอลคนละยุคสมัยกัน ธรรมชาติ วิธีคิด แนวทางการเล่น สภาพแวดล้อมย่อมแตกต่าง และเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 50-60 ปีก่อน
ฟุตบอลเมื่อ 50-60 ปีก่อนนะครับ..
กับการมีนักฟุตบอลคนหนึ่งซึ่งเล่นไม่เหมือนใครในเวลานั้น พักอกแล้วกระดกข้ามหัวกองหลังก่อนวอลเล่ย์จังหวะเดียวตุงตาข่าย ทำอย่างนั้นในนัดชิงฟุตบอลโลกตอนที่ตัวเองเพิ่งจะอายุ 17 ปี ไหลบอลด้วยสัญชาตญาณว่าเพื่อนจะวิ่งมาตรงนั้นแน่ในนัดชิงฟุตบอลโลกปี 1970 ลีลาหลอกล่อคู่แข่งราวกับกำลังเริงระบำ ไขว้บอลให้เพื่อน หมุนตัวหลบคู่ต่อสู้ ข้อเท้าไวหักบอลหนีการสกัดในพื้นที่แคบๆ หรือโซโล่เดี่ยวด้วยความเร็วและเทคนิคเข้าไปทำประตู
ความเป็น "เปเล่" นั้นพิเศษที่ตรงนั้นแหละครับ ฟุตบอลของเขาเหมือนมาจากโลกอีกใบ เหมือนเอาความทันสมัยของฟุตบอลยุคนี้ไปเล่นในยุคนั้น เขาจึงคล้ายอยู่เหนือกาลเวลา เล่นฟุตบอลด้วยจินตนาการที่ใครในวันนั้นก็ไปไม่ถึง
ลองหาดูคลิปที่มีคนทำออกมาก็ได้ครับว่า เปเล่เล่นฟุตบอลเหมือนมาจากอนาคตจริงๆ ท่วงท่าลีลาเด่นๆ ของนักฟุตบอลรุ่นลูกรุ่นหลานทั้ง โยฮัน ครัฟฟ์ ดีเอโก้ มาราโดน่า ซีเนดีน ซีดาน ลิโอเนล เมสซี่ เขาเคยทำมาแล้วทั้งนั้น และน่าเหลือเชื่อว่ามันเหมือนกันชนิดที่แทบจะถอดแบบกันมาเลย
ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาคือคนที่ทำมันได้เป็นคนแรก (เพราะอาจจะมีคนทำมันมาแล้วก่อนหน้านั้นก็ได้) หรือจะเอามาข่มยอดนักฟุตบอลรุ่นหลังเหล่านั้น มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย ทุกคนต่างก็เป็นยอดนักเตะทั้งนั้น และตัวของเปเล่เองก็ไม่เคยเคลมหรือกล่าวอ้างว่าไอ้ที่พวกเอ็งๆ ทำให้คนดูฮือฮาน่ะ ข้าทำมาก่อนแล้วนะ แต่แค่คนไม่ได้เห็นเป็นวงกว้างเท่านั้นเอง
เพราะมันอาจไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยก็ได้สำหรับเขา
เมื่อระดับของเปเล่สูงขนาดนั้น มันจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีคู่ต่อสู้คนไหนตามเขาได้ทัน ทั้งความคิด จินตนาการ การออกแบบการเล่น และมุมมองของเกม ทางเดียวที่จะหยุดเขาได้ก็คือเตะให้กองกับพื้นเท่านั้น
สิ่งที่เปเล่ต้องเจอในยุคนั้นคือการทำฟาวล์ในแบบที่ต้องโดนใบแดงโดยตรงสถานเดียวในโลกลูกหนังปัจจุบัน ซึ่งเมื่อคู่ต่อสู้ไม่โดนไล่ออก เขาจึงถูกถีบ ถูกเสียบ ถูกยันหัวเข่า ย่ำหน้าแข้ง เหยียบข้อเท้า ถูกไล่เตะจากด้านหลัง โดนเล่นบทโหดเข้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่าในแต่ละเกม และต้องหาวิธีเอาตัวรอดเอาเองเพราะกติกายังไม่คุ้มครอง..
ถ้าเราจะลองย้อนดูฟุตเทจเก่าๆ ที่เขาถูกไล่เตะอย่างเหี้ยมโหดก็จะเข้าใจว่า การฝ่าดงแข้งเหล่านั้นขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งของโลกได้คือเรื่องมหัศจรรย์และน่ายกย่องเพียงใด และการเป็นนักฟุตบอลเพียงคนเดียวจนถึงเวลานี้ที่คว้าแชมป์โลกได้ 3 สมัยนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
เพราะถ้ามันทำกันได้ง่ายๆ ก็คงมีคนอื่นทำได้เหมือนกันไปแล้ว โดยเฉพาะเพื่อนร่วมทีมชาติบราซิลอีกหลายคนของเขาในช่วงที่บราซิลคว้าแชมป์โลก 3 สมัยในเวลาห่างกันเพียง 12 ปี
ในวันที่ เปเล่ จากโลกนี้ไป ผมคิดถึงความทรงจำเก่าๆ ที่เคยมีต่อเขา.. มันอบอุ่น งดงาม เต็มไปด้วยคุณค่า
แล้วมันก็ยังมีความทรงจำใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเช่นกัน..
ผมพลันคิดถึงคำพูดของเขาที่เอ่ยเอาไว้ในวันที่ ดีเอโก้ มาราโดน่า จากเราไปเมื่อสองปีก่อน
"..ผมหวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เล่นฟุตบอลด้วยกันบนสรวงสวรรค์"
ในวันนั้นผมเขียนบทความถึง มาราโดน่า ขวัญใจตลอดกาลของผม เชิดชูเขา สดุดีเขา และตั้งใจจะยกเอาคำพูดนี้ของ เปเล่ มาขึ้นเป็นบรรทัดนำในหมวด Part lll: การร่ำลาจากนักฟุตบอลและแฟนบอล
ในวันนี้ ผมย้อนกลับไปอ่านมันอีกครั้ง..
-----------------------
"..ผมหวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เล่นฟุตบอลด้วยกันบนสรวงสวรรค์"
จะมีคำร่ำลาใดกินใจไปกว่าการบอกลาของ เปเล่ นี้อีก..
นักฟุตบอล 2 คนที่ถูกจับมาเปรียบเทียบกันตลอดมา ต่างก็เป็นเบอร์หนึ่งในยุคของตัวเองแต่แฟนบอลถกเถียงกันไม่เคยจบว่าใครกันแน่คือเบอร์หนึ่งตลอดกาล
ในส่วนตัวของทั้งคู่จะคิดอย่างไรเราคงไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ทั้ง เปเล่ และ มาราโดน่า ต่างแสดงออกอย่างมีคุณค่า ไม่ดูถูกอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนแฟนบอลบางส่วนที่ต้องหาผู้ชนะให้ได้เท่านั้น
บลัฟกันบ้าง แซวกันบ้าง มีหงุดหงิดในอารมณ์บ้างแต่ต่างฝ่ายต่างเคารพซึ่งกันและกัน ออกงานร่วมกันได้ไม่มีปัญหา
ภาพที่มาราโดน่าก้มลงไปโอบศีรษะของไข่มุกดำในวัย 77 ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นมาจุมพิตคือภาพที่ผมรักมาก มันเกิดขึ้นในงานที่ทั้งคู่ได้รับเชิญไปรัสเซียร่วมงานจับสลากฟุตบอลโลก 2018 ที่จตุรัสแดงในกรุงมอสโก
ไม่แน่ใจว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้พบกันไหม แต่คำอาลัยของเปเล่ที่มีต่อการจากไปของมาราโดน่านั้นกินใจเป็นที่สุดจริงๆ
"..ผมหวังว่าวันหนึ่งเราจะได้เล่นฟุตบอลด้วยกันบนสรวงสวรรค์"
หมายเลข 10 ตำนานแห่งบราซิล กับ หมายเลข 10 ตำนานแห่งอาร์เจนติน่า
หมายเลข 10 ที่เป็นตำนานของโลกฟุตบอลทั้งคู่
เป็นแชมป์โลกเหมือนกัน คว้าแชมป์โลกบนสนามเดียวกัน
ไม่เคยได้เล่นฟุตบอลด้วยกัน แต่อยู่ท่ามกลางคำถามว่าใครคือเบอร์ 10 ที่ดีที่สุดตลอดกาลมาค่อนชีวิตร่วมกัน ในใจลึกๆ ทั้งคู่คงจะอยากเล่นฟุตบอลด้วยกันจริงๆ ก็ได้
ยอมรับว่าครั้งแรกที่เห็นคำร่ำลาของเปเล่ ผมน้ำตาไหล เพราะมันบอกทุกอย่างของความรู้สึกที่ไข่มุกดำมีต่อนักเตะรุ่นน้องผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
เสียใจ คิดถึง โหยหา และเข้าใจสัจธรรมของชีวิต มีพบก็ต้องมีพราก มีเกิดก็ต้องมีดับ สักวันหนึ่งพี่ก็ต้องตามแกไป ยังไงไปรอพี่ข้างบนนั้นก่อน จัดเตรียมสนามให้ดีด้วยล่ะ แล้วเราจะได้เล่นฟุตบอลด้วยกัน..
-----------------------
สักวันหนึ่งพี่ก็ต้องตามแกไป..
นั่นน่ะสิครับ สักวันหนึ่งที่ว่านั้นมันมาถึงแล้วจนได้
ถ้าความโรแมนติกมีจริง.. ผมหวังว่าตอนนี้ทั้งคู่จะกำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าสตั๊ดคุยกัน มาราโดน่าใส่เสื้ออาร์เจนติน่า เปเล่ใส่เสื้อบราซิล ในสภาพร่างกายสมัยที่ยังฟิตสมบูรณ์ที่สุดทั้งคู่
แน่นอนครับ.. พี่เตี้ยของผมคงจะอวดใส่ลุงเล่เรื่องอาร์เจนติน่าเป็นแชมป์โลก ก่อนจะถูกสวนกลับเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอันคุ้นเคยและมือทั้งสองข้างที่ชูขึ้นมา ข้างหนึ่งชู 3 นิ้ว อีกข้างหนึ่งชู 5 นิ้ว
'แย่จัง.. อีกสองสมัยก็จะทันบราซิลแล้วสินะ'
เปเล่ไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายของภาษามือนั้นบอกชัด และทั้งคู่คงจะหัวเราะกันลั่น ก่อนจะวิ่งลงไปสู่สนามด้วยกัน
ถ้าความโรแมนติกมีจริง..
ลาก่อน.. "ไข่มุกดำ"
ลาก่อนครับ.. เปเล่ ของผม
ตังกุย