พิธีจับสลากรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2026 จะมีขึ้นเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับเวลาประเทศไทยราว เที่ยงคืนของวันที่ 6 ธันวาคม โดยครั้งนี้ถือเป็นการจับสลากครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีทีมเข้าร่วมรอบสุดท้ายมากถึง 48 ทีม ทำให้การจัดโถสลากแบ่งเป็น 4 โถ โถละ 12 ทีม
โถ 1 ประกอบด้วยเจ้าภาพร่วมทั้งสามชาติ — สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดา — รวมถึงอีก 9 ทีมที่มีอันดับโลกดีที่สุด ส่วน โถ 2 และโถ 3 จะเรียงตามอันดับโลกตามปกติ
ด้าน โถ 4 จะมี 6 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายแล้ว รวมกับทีมที่ต้องรอผลเพลย์ออฟทั้งโซนยุโรปและเพลย์ออฟข้ามทวีป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้แข่งหาทีมเข้ารอบ
สำหรับการจัดสาย ฟีฟ่ากำหนดไว้ล่วงหน้าว่า เม็กซิโกอยู่กลุ่ม A, แคนาดาอยู่กลุ่ม B และสหรัฐอเมริกาอยู่กลุ่ม D จากนั้นจึงไล่จับทีมจากโถ 1 ไปจนถึงโถ 4 พร้อมจัดเข้ากลุ่มตามเงื่อนไข เช่น หากทีมหนึ่งสามารถถูกจัดเข้ากลุ่ม A–D ได้ทั้งหมด ก็ต้องถูกวางใน กลุ่ม A โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น อังกฤษ ถูกจับขึ้นมาและสามารถอยู่ได้ทั้งกลุ่ม เอ, บี, ซี และ ดี นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องไปอยู่ในกลุ่ม เอ แบบอัตโนมัติ เป็นต้น
อีกหนึ่งกฎสำคัญคือ แต่ละกลุ่มห้ามมีทีมจากทวีปเดียวกันเกิน 1 ทีม (ยกเว้นยุโรปที่อนุญาตให้มีได้ 1–2 ทีม เนื่องจากมีตัวแทนมากถึง 16 ทีม)
ฟีฟ่ายังวางเงื่อนไขพิเศษเพื่อป้องกันการเจอกันเร็วเกินไปของทีมอันดับโลกสูงสุด โดยทีมที่มีอันดับโลก ที่ 1–2 จะถูกแยกฝั่งในผังน็อกเอาต์ เช่น ถ้า สเปน (อันดับ 1) อยู่สายซ้าย อาร์เจนตินา (อันดับ 2) จะต้องไปอยู่อีกฟากหนึ่งทันที เช่นเดียวกับ ฝรั่งเศส (อันดับ 3) และ อังกฤษ (อันดับ 4) ที่ต้องถูกแบ่งฝั่งให้สมดุลตามหลักการนี้ แนวคิดนี้คล้ายการวางสายการแข่งขันเทนนิสหรือแบดมินตัน เพื่อรักษาความสมดุลของทัวร์นาเมนต์