ไอร์แลนด์ พบ อังกฤษ! 5 ข้อสิงโตฝ่าดราม่าเปิดตัวเฮศึกเนชั่นส์ลีก

ไอร์แลนด์ พบ อังกฤษ! 5 ข้อสิงโตฝ่าดราม่าเปิดตัวเฮศึกเนชั่นส์ลีก
ทีมชาติ อังกฤษ รองแชมป์ ยูโร 2024 กลับมาเริ่มต้นใหม่ในยุคของ ลี คาร์สลีย์ ผู้จัดการทีมชั่วคราวด้วยการออกสตาร์ตศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก นัดแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาโดยทืม สิงโตคำราม บุกไปเอาชนะ ไอร์แลนด์ แบบเบาะๆ 2-0 เก็บสามแต้มได้ตามคาดที่สนาม อาวีว่า สเตเดี้ยม ในกรุงดับลินเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย.ก่อนปะทะกับ ฟินแลนด์ เป็นเกมต่อไป

1. ยักษ์เขียวเปิดตัวนายใหม่

ไฮมีร์ ฮอลล์กริมส์สัน กุนซือชาว ไอซ์แลนด์ ของทีมชาติ ไอร์แลนด์ ประเดิมคุมทีมเป็นเกมแรกต้อนรับการมาเยือนของ  อังกฤษ หลังได้รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย.2024 แทนที่ จอห์น โอเช กุนซือขัดตาทัพซึ่งหันมารับบทผู้ช่วยผู้จัดการทีมแทน

ยักษ์เขียว วางหมากด้วยการใช้งาน แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ กับ เจย์สัน โมลุมบี้ ออกสตาร์ตโดยมี ควีวิน เคลเลเฮอร์ นายทวารทีม ลิเวอร์พูล เฝ้าตาข่าย

นอกจากนี้ เจ้าบ้านได้ ชิโดซี่ อ็อกเบเน่ หายเจ็บคืนทัพ ขณะที่ เชมัส โคลแมน กองหลัง เอฟเวอร์ตัน สวมบทกัปตันในการรับใช้ชาติเป็นเกมที่ 73

2. ผู้ดีทดลองงาน คาร์สลีย์

ลี คาร์สลีย์ ผู้จัดการทีมชั่วคราวของ อังกฤษ ประเดิมคุมทีมเป็นเกมแรกเช่นกันทดแทน แกเร็ธ เซาธ์เกต ที่ลาออกหลังจบศึก ยูโร 2024 ซึ่งเขาพาทีมคว้าอันดับรองแชมป์

นายใหญ่ทีม สิงโตคำราม ชุดเล็กตัดสินใจเลือกใช้บริการ แจ็ค กรีลิช ปีกทีม แมนฯ ซิตี้ ที่หลุดโผ ยูโร 2024 ลงเล่นเป็น 11 คนแรกรวมทั้ง เดแคลน ไรซ์ ซึ่งเคยรับใช้ทีมชาติ ไอร์แลนด์ ชุดเล็กมาก่อนด้วยกันทั้งคู่

นอกจากนี้ แอนโธนี่ กอร์ดอน ปีกอีกรายที่ เซาธ์เกต เมินส่งลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ที่เมืองเบียร์ได้ลงบู๊เป็นตัวจริงเกมนี้เช่นเดียวกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ลีวาย โคลวิลล์

3. ดราม่ามาเต็ม

เกมที่ อาวีว่า สเตเดี้ยม บังเกิดดราม่าตั้งแต่ก่อนเริ่มเกมเมื่อ คาร์สลีย์ บอกกล่าวล่วงหน้าแล้วว่าเขาจะไม่ร้องเพลงชาติของ อังกฤษ ในฐานะที่เคยเป็นอดีตกองกลางทีมชาติ ไอร์แลนด์

อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ทำให้กุนซือชั่วคราวของทีมเมืองผู้ดีโดนสาวก ทรี ไลอ้อนส์ รุมถล่มไม่น้อยเนื่องจากอันที่จริงเขาเป็นชาวอังกฤษขนานแท้ที่ถือกำเนิดในเมืองเบอร์มิ่งแฮม แถมตลอดอาชีพการค้าแข้งตั้งแต่สมัยเยาวชน รวมถึงระดับอาชีพ คาร์สลีย์ ล้วนเล่นอยู่ในลีกอิงลิชมาตลอดทั้งชีวิตกระทั่งรีไทร์

ถึงกระนั้นในการรับใช้ชาติ คาร์สลีย์ เลือกเล่นให้ทีม ยักษ์เขียว ตามสัญชาติทางฝั่งแม่ตั้งแต่ทีมชุดยู 21, ชุดบี จนถึงชุดใหญ่ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเขาไม่ดีพอที่จะผงาดไปติดทีมชาติ อังกฤษ 

4. ไรซ์ - กรีลิช กอดคอฝ่าเสียงโห่

นอกจาก คาร์สลีย์ แล้ว สถานการณ์ของการฟาดแข้งส่งผลให้ ดราม่า อุบัติตามมาอีกเมื่อ ไรซ์ กลายเป็นนักเตะที่ซัดประตูให้ สิงโตคำราม บุกมานำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 11 และเขาไม่ขอฉลองประตูเนื่องจากสตาร์ อาร์เซน่อล ผ่านการลงเล่นให้ ไอร์แลนด์ มาโดยตลอดตั้งแต่ชุดยู 17, 19 , 21 แถมเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ยักษ์เขียว สามเกมด้วยตามสัญชาติของฝั่งคุณปู่ก่อนเปลี่ยนมารับใช้ทีมชาติ อังกฤษ ตั้งแต่ปี 2019

เท่านั้นไม่พอ กรีลิช มาเข่นอีกเม็ดให้ อังกฤษ นำห่าง 2-0 ในนาทีที่ 26 ก่อนชนะไปด้วยสกอร์ดังกล่าว แถม ไรซ์ จัดแอสซิสต์ประตูนี้ด้วย แต่ปีกทีม แมนฯ ซิตี้ ไม่สนใจเสียงโห่ของกองเชียร์เจ้าบ้าน และจัดแจงฉลองประตูของตัวเองแม้เขาจะเป็นเหมือน ไรซ์ ที่เคยเล่นให้ ไอร์แลนด์ มาก่อนตั้งแต่ทีมชุดยู 17,18 และ21 ก่อนเปลี่ยนมาเล่นให้ อังกฤษ ชุดยู 21 แล้วจึงก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2010 ทั้งๆที่เกิดในเมืองเบอร์มิ่งแฮมเช่นเดียวกับ คาร์สลีย์ แต่มีบรรพบุรุษเป็นชาวไอริช

สำหรับ ไรซ์ ต้องบอกว่าเกมนี้เขามีผลงานที่โดดเด่นเกินใครจากหนึ่งประตู และหนึ่งแอสซิสต์ซึ่งเป็นเกมแรกในอาชีพพ่อค้าแข้งที่ขุนพลทีม อาร์เซน่อล สร้างผลงานได้ทั้งยิงทั้งจ่ายในเกมเดียวกันจากการลงเล่นให้ทีม สิงโตคำราม เป็นนัดที่ 59

5. ครึ่งแรกแจ่ม ครึ่งหลังจืด

แม้จะเป็นฝ่ายบุกไปเยือน ไอร์แลนด์ แต่เห็นได้ชัดว่า อังกฤษ มีฝีเท้าที่เหนือกว่าเจ้าบ้านชนิดกระดูกคนละเบอร์ และทำให้ เคลเลเฮอร์ เจองานหนักตั้งแต่หัววันก่อนโดนสอยตาข่ายไปสองแผลในครึ่งแรก

จากฟอร์มที่ผิดกันลิบลับใน 45 นาทีแรก มันชวนให้แฟนบอล ทรี ไลอ้อนส์ วาดหวังว่าจะมีการยิงประตูเพิ่มอีกในครึ่งหลังเนื่องจาก ยักษ์เขียว ไม่มีอะไรมาเทียบกับทีมเมืองผู้ดีได้เลย แต่ปรากฏว่าสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ผิดเพี้ยนอย่างไม่น่าเชื่อ

ดังจะเห็นว่าเกมในครึ่งหลังของ  อังกฤษ แผ่วลงไปอย่างเห็นได้ชัด และแทบไม่มีวี่แววว่าจะคลำเป้าเม็ดที่สามได้แม้ ไอร์แลนด์ จะได้โอกาสบุกมากขึ้น แต่พวกเขาไม่มีพิษสงอยู่ในระดับที่จะเบิกสกอร์รองแชมป์ ยูโร 2024 ได้ ลงเอยแล้ว ทรี ไลอ้อนส์ จึงชนะไปแค่ 2-0 ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ต่ำเกินไป

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสถิติใน 45 นาทีแรก อังกฤษ เหนือกว่าบานตะไททั้งการครองบอล 81.8:18.2% และได้ยิงมากกว่า 9:4 ครั้ง อีกทั้งส่งบอลเข้ากรอบได้เหนือกว่า 5:1 ครั้ง และได้มาสองประตู

ฉะนั้นแล้ว ใครต่อใครจึงมองว่าเกมในครึ่งหลังน่าจะมีสกอร์สำหรับฝั่งทีมเยือนเพิ่มอีก แต่ที่ไหนได้ อังกฤษ หันมาเล่นแบบเนือยๆ และไม่อาจยิงประตูเพิ่มได้โดยหลังจบ 90 นาที สถิติระบุว่าทีมเยือนครองบอลได้ลดลงในสัดส่วน 76.4:23.6% แม้จะได้โอกาสยิงประตูรวมทั้งสิ้นมากกว่าเจ้าบ้าน 16:6 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้ดีกว่า 9:1 ครั้ง แต่ถือเป็นมาตรฐานที่แย่กว่าครึ่งแรกเนื่องจากพวกเขาน่าจะชนะเกินกว่า 2-0 จากฟอร์มที่ฉายออกมา

ถึงตรงนี้ ยังเร็วเกินไปแน่นอนที่จะบ่งชี้ว่า คาร์สลีย์ สมควรได้รับงานแบบเต็มตัวหรือไม่เนื่องจาก ยักษ์เขียว ไม่ใช่คู่ต่อกรของ สิงโตคำราม แถมเกมหน้ากับ ฟินแลนด์ ในวันอังคารที่ 10 ก.ย.นี้ก็น่าจะยังชี้วัดไม่ได้ ขอแค่ว่าทีมเมืองผู้ดีอย่าขายหน้าคาบ้านแบบพลิกล็อกเป็นพอ


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport