จบไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเกมใหญ่ของศึก ฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ เมื่อเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน ตามเวลาบ้านเรา เมื่อทีมชาติอาร์เจนตินาสามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับ บราซิล 1-0 ได้ถึง มาราคาน่า ซึ่งถือเป็นสนามอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวบราซิเลี่ยนก็ว่าได้
สำหรับ อาร์เจนตินา ผลการแข่งขันแบบนี้ทำให้พวกเขานำเป็นจ่าฝูงด้วยผลงาน 15 คะแนนจากการลงเล่น 6 นัด ส่วน บราซิล อาการเข้าขั้นโคม่าเพราะปัจจุบันอยู่ที่ 6 ด้วยการมีเพียง 7 แต้มจาก 6 เกม แถมมันเท่ากับว่าพวกเขาไม่ชนะใครมา 4 นัดติดต่อกันด้วย โดยในโซนอเมริกาใต้ ทีมที่ได้ 6 อันดับแรกจะเข้าสู่รอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ
ด้วยความที่มันเป็นเกมใหญ่ระดับนี้ ทำให้มันมีเกร็ดบางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้นตามไปด้วย และมันก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
- เกมสุดดุเดือด
หลายคนคาดกันอยู่แล้วว่านี่จะเป็นเกมที่มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรุนแรง เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นขาใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้และเป็นคู่ปรับตลอดกาลของกันและกัน ซึ่งก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นนั้นแฟนบอลบนอัฒจันทร์ก็เปิดศึกกันไปพักหนึ่งด้วย
ทั้งนี้ ในสนามเองก็มีความดุเดือดไม่แพ้กัน เพราะนักเตะของทั้งคู่เข้าบอลกันหนักสุดๆ ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ทำให้แค่ในช่วง 30 นาทีแรกก็มีการทำฟาวล์ไปรวมกันถึง 11 ครั้ง ซึ่งถ้านับเฉพาะตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา นี่ก็เกือบจะเป็นเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ที่มีการทำฟาวล์ในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกมากที่สุด โดยอันดับ 1 ประกอบด้วยเกมระหว่าง ปารากวัย กับ อาร์เจนตินา เมื่อปี 2012, เกมที่ ปารากวัย เจอกับ เวเนซุเอลา เมื่อปี 2012 และนัดระหว้าง อาร์เจนตินา กับ บราซิล เมื่อปี 2016 ที่มีชอตทำฟาวล์มากถึง 12 ครั้ง
ขณะที่พอกรรมการเป่าจบครึ่งแรกนั้น มันก็เกิดการทำฟาวล์รวมกันถึง 22 หน แบ่งเป็น 16 ครั้งของ บราซิล และ 6 หนของ อาร์เจนตินา ทำให้นี่นับเป็นเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ ที่มีการทำฟาวล์ในช่วง 45 นาทีแรกเยอะที่สุดตลอดกาลทันที
- เวทมนตร์ มาราคาน่า ไม่ช่วย
แม้ว่า มาราคาน่า จะเป็นสนามที่เปรียบเหมือนวิหารของคนบราซิเลี่ยน แต่ในทางกลับกัน อาร์เจนตินา ก็ถือว่าถูกโฉลกกับการมาเล่นที่นี่เหมือนกัน เพราะนี่เท่ากับว่าพวกเขาคว้าชัยเหนือ บราซิล ที่สังเวียนแห่งนี้ได้เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดย 2 หนก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในเกมอุ่นเครื่องเมื่อปี 1998 กับศึก โกปา อเมริกา นัดชิงชนะเลิศ 2021
นอกจากนี้ มันก็เหมือนกับเรื่องบังเอิญที่สกอร์ของทั้ง 3 เกมจบลงที่ 1-0 ทั้งหมดด้วย ขณะที่ นิโกลัส โอตาเมนดี้ คนที่ทำประตูชัยให้ อาร์เจนตินา ในวันนี้ ก็กลายเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2000 ที่ทำประตูใส่ บราซิล ในการเล่นที่ มาราคาน่า ได้เช่นกัน โดยคนสุดท้ายก่อนหน้าเขาคือ ดาริโอ ซิลบา ดาวเตะ อุรุกวัย ซึ่งทำได้ในเกมที่ อุรุกวัย เสมอกับ บราซิล 1-1
- เกมรับสุดแกร่ง
แม้ว่าจะขึ้นชื่อเรื่องเกมรุก แต่เกมรับของ อาร์เจนตินา ก็ทำผลงานได้น่าพอใจเช่นกัน จนทำให้ตอนนี้พวกเขาไม่เสียประตูในเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กับการเล่นในฐานะทีมเยือน 3 นัดติดต่อกันแล้ว (2 เกมก่อนหน้านี้คือนัดที่ชนะ โบลิเวีย 3-0 และนัดทุบ เปรู 2-0) ซึ่งนี่ถือเป็นหนแรกที่พวกเขาทำแบบนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น อาร์เจนตินา ชุดปัจจุบันก็กลายเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ไม่เสียประตูให้กับ บราซิล มากถึง 4 นัดติดต่อกันจากทุกรายการเป็นอย่างน้อยด้วย ซึ่งเกิดขึ้นในยุคที่พวกเขามี ลิโอเนล สกาโลนี่ เป็นกุนซือทั้งหมด โดยทีมแรกที่ทำแบบนั้นได้คือ เม็กซิโก ที่ทำเอาไว้ในช่วงปี 2001-2003
ขณะเดียวกัน นี่ก็ถือเป็นหนแรกในรอบ 14 ปีที่มีทีมทำให้ บราซิล เจาะตาข่ายไม่ได้เลยทั้งที่ได้เล่นเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ในบ้านของพวกเขาเองไม่ว่าจะเป็นที่สนามไหนก็ตาม โดยทีมสุดท้ายก่อนหน้านี้คือ เวเนซุเอล่า ซึ่งทำเอาไว้เมื่อปี 2009
- ครั้งแรก
ที่ผ่านมา บราซิล มักจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเวลาลงเล่นเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก บนแผ่นดินของตัวเอง เพราะก่อนหน้าจะถึงเกมนี้พวกเขายังไม่เคยแพ้ใครในบ้านเลยกับการเล่นเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก แต่สถิติสุดสวยหรูก็ต้องมาสิ้นสุดลงในเกมล่าสุด แถมยังเป็นด้วยฝีมือของคู่อริตลอดกาลอีกต่างหาก
นอกจากนี้ นี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ ลิโอเนล เมสซี่ เอาชนะ บราซิล กับการเล่นเกม ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกได้ด้วย ทำให้เท่ากับว่า เมสซี่ เอาชนะทีมในทวีปอเมริกาใต้กับการเล่น ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ได้ครบทุกทีมสักที เพราะก่อนหน้านี้ บราซิล คือเหยื่อรายเดียวที่เขายังไม่สามารถเก็บเป็นคอลเล็กชั่นได้ ถึงกระนั้น มันก็เท่ากับว่า เมสซี่ ยังไม่สามารถทำประตูใส่ บราซิล ในเกมระดับ ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ได้เลยอยู่ดี
- เด็กเกร็ดบอล -