ทีมชาติ อังกฤษ ไม่พลาดตีตั๋วเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายศึก ยูโร 2024 ได้สำเร็จแล้ว แถมเป็นการกำชัยได้อย่างมีสไตล์อีกต่างหากกับการเปิด เวมบลีย์ สยบ อิตาลี แชมป์เก่าลงได้อย่างงดงาม 3-1 จากการฟาดแข้งเมื่อวันอังคารที่ 17 ต.ค. ถอนแค้น อัซซูรี่ ได้อย่างสาสมโดยเกมนี้ แฮร์รี่ เคน ยังเป็นหัวใจสำคัญของทีมเมืองผู้ดีในการทำประตูเช่นเดิม ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ฟอร์มตกอย่างแรงในซีซั่นนี้ก็น่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้
1. สิงโตปรับทัพไม่ซ้ำหน้า-สองเด็กโปรดเจ้านายออกสตาร์ต
ทีมชาติ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต โรเตชั่นทีมแบบยกชุดจากเกมล่าสุดที่อุ่นเกือกเฉือนชนะ ออสเตรเลีย 1-0 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
และแน่นอนว่าในจำนวนนี้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ คัลวิน ฟิลลิปส์ มิดฟิลด์ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสองดาวเตะคนโปรดของนายใหญ่ ทรี ไลอ้อนส์ มีชื่อลงเล่นเป็น 11 คนแรกแม้ทั้งสองแทบไม่ได้รับโอกาสให้ลงสนามจากต้นสังกัด
จากการส่ง ฟิลลิปส์ ลงสนามทำให้มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อยที่ เซาธ์เกต ตัดสินใจดร็อป เจมส์ แมดดิสัน ที่กำลังฟอร์มฮ็อตกับ สเปอร์ส นั่งเป็นตัวสำรอง
2. อัซซูรี่เปลี่ยนโผตัวจริงแปดราย
ด้าน อิตาลี ของกุนซือ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ซึ่งเกมล่าสุดในรอบคัดเลือก ยูโร 2024 พิชิต มอลต้า 4-0 ในรังตัวเองสลับโผตัวจริงมากถึงแปดรายคงเหลือสามรายที่ได้ลงบู๊ต่อ
นอกจาก จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่ได้เฝ้าเสาแล้ว โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ กับ นิโคโล่ บาเรลล่า เป็นอีกสองนักเตะที่รักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ได้
ขณะเดียวกัน เดสตินี่ อูโดกี้ แบ็คซ้ายทีม สเปอร์ส ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการรับใช้ชาติเป็นเกมที่สองของเขาหลังจากนัดบู๊กับ มอลต้า ดาวเตะวัย 20 ปีถูกส่งลงเล่นเป็นตัวสำรอง
สำหรับ สเตฟาน เอล ชาราวี่ กองหน้าวัย 30 ปีของทีม โรม่า กลับมาติดธงอีกหนเป็นเกมที่ 30 และเป็นเกมแรกที่เจ้าตัวได้หวนคืนสู่ทีมชาตินับตั้งแต่เดือนมี.ค.2021
3. คิงเคน ราชาแห่งเวมบลีย์
หลังสังหารลูกโทษให้ อังกฤษ ตีเสมอ 1-1 ได้ในนาทีที่ 32 แม้ จานลูก้า สคามัคค่า หัวหอก อตาลันต้า จะซัดให้ทีมเยือนบุกมานำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 15 แฮร์รี่ เคน ก็สร้างผลงานสอยตาข่ายใน เวมบลีย์ ได้ 23 ประตูเท่ากับ บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานดาวยิงทีมชาติ อังกฤษ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน มันเป็นประตูที่ 60 พอดีที่เขาคลำเป้าให้แผ่นดินเกิดได้ในการติดธงเป็นเกมที่ 87
พร้อมกันนี้ เคน ยังมีส่วนร่วมโดยตรงกับการทำประตูให้ อังกฤษ เป็นลูกที่ 32 จาก 30 นัดหลัง (ยิง 26 แอสซิสต์ 6) โดยใน 10 เกมหลังที่ลงเล่นให้ทีมชาติ ยอดกองหน้ามีผลงานเช็กบิลได้หรือไม่ก็ต้องแอสซิสต์ทุกนัดด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี จบ 45 นาทีแรก แม้ อังกฤษ จะครองบอลได้เหนือกว่า 54:46% แต่ อิตาลี หาจังหวะทำประตูได้มากกว่า 7:4 ครั้ง ทว่าเจ้าบ้านส่งบอลเข้ากรอบได้เหนือกว่า 3:2 ครั้ง
4. แรชฟอร์ด คืนความมั่นใจ???
หลังมีฟอร์มที่ถดถอยลงไปอย่างน่าใจหายในซีซั่นนี้ ในที่สุด มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ก็น่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้ตัวเองได้บ้างแล้วไม่มากก็น้อยเมื่อตะบันให้ อังกฤษ แซงนำ 2-1 ในนาทีที่ 57
และที่สำคัญในจังหวะดังกล่าว แรชฟอร์ด สามารถงัดฟอร์มเก่งที่ตัวเองถนัดออกมาสอยประตูได้เนื่องจากเขาเป็นตัวรุกที่จำเป็นต้องมีพื้นที่ให้กระชากลากเลื้อย และช่ำชองในการคลำเป้าจากจังหวะโต้กลับเป็นหลักซึ่งแม้จะขาดมิติในเรื่องของพิษสง แต่อย่างน้อยดาวยิง ผีแดง ก็ไม่ทำให้เพื่อนร่วมทีมผิดหวังเมื่อรับบอลจาก จู๊ด เบลลิ่งแฮม ทะยานตัดจากกราบซ้ายเข้าเขตโทษไปโยกหนีกองหลังแล้วเข่นเต็มข้อตุงตาข่ายชนิดที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายออกทางขวาอีกทอดให้ เคน ที่รอเผด็จศึกอยู่แต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี หาก แรชฟอร์ด สามารถสวมบทกองหน้าตัวเป้าได้ เขาก็จะเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบมากกว่าที่เป็นอยู่ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยที่เจ้าตัวหาโอกาสเช็กบิลในพื้นที่จำกัดจำเขี่ยไม่ค่อยได้ และต้องอาศัยการจู่โจมใส่คู่แข่งจากหมากเคาน์เตอร์แอทแท็คเป็นหลักอย่างที่เห็น
กระทั่งนาทีที่ 77 เคน แสดงให้เห็นถึงความเป็นศูนย์หน้าชั้นยอดที่ทั้งแข็งแกร่ง ว่องไว และครองบอลได้อย่างเหนียวแน่นหลังจาก มาร์ค เกฮี กองหลังตัวสำรองสาดบอลยาวจากแดนหลังแล้วแนวรับ อิตาลี สกัดไม่เด็ดขาดจนเปิดทางให้ดาวเตะทีม บาเยิร์น ฉวยไปลากเดี่ยวฝ่าสามตัวประกบเข้าตะบันผ่าน ดอนนารุมม่า ได้อย่างเด็ดขาดเป็นประตูย้ำชัยให้กับเจ้าบ้าน
ถึงตรงนี้ เคน สร้างชื่อเพิ่มได้อีกด้วยการยิงสองตุงเป็นอย่างต่ำในการรับใช้ชาติเป็นนัดที่ 11 แล้ว และมีเพียง แน็ต ลอฟท์เฮาส์ คนเดียวที่ครองสถิติเหนือกว่าจากจำนวน 12 นัด
อีกทั้งในเมื่อเจ้าตัวกดเพิ่มได้อีกเม็ดในครึ่งหลัง เขาก็แซงนำ ชาร์ลตัน เป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการครองตำแหน่งนักเตะทีมชาติ อังกฤษ ที่เช็กบิลใน เวมบลีย์ ได้มากที่สุด 24 ประตู ตลอดจนมีส่วนโดยตรงกับการทำประตูเพิ่มเป็น 33 เม็ดจาก 30 นัดหลัง (27 ประตู 6 แอสซิสต์)
ครบ 90 นาที สถิติบ่งชี้ว่า ทรี ไลอ้อนส์ ครองบอลเหนือกว่าเล็กน้อย 51:49% และยังหาโอกาสเช็กบิลได้เป็นรองทีมมะกะโรนี 15:9 ครั้ง แต่ทีมของ เซาธ์เกต ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 6:4 ครั้ง
5. ผู้ดีแกร่งอย่าบอกใคร
หลังกำชัยเหนือ อิตาลี 3-1 อังกฤษ สามารถสานผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ต่อไปในการลงเล่นเกมรอบคัดเลือกของสองรายการใหญ่ทั้ง ฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร โดยพวกเขาแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 63 นัดของสองทัวร์นาเมนต์หลังโดยครั้งสุดท้ายเป็นการบุกไปแพ้ สาธารณรัฐเช็ก 2-1 ในศึก ยูโรรอบคัดเลือก เมื่อเดือนต.ค.2019 (ชนะ 50 เสมอ 12 แพ้ 1)
ขณะเดียวกัน ทีมเมืองผู้ดี เพิ่มสถิติไร้พ่ายในรังตัวเองนานถึง 36 นัดติดต่อกันแล้ว (ชนะ 32 เสมอ 4) นับตั้งแต่โดน โครเอเชีย บุกมาคว่ำ 3-2 เมื่อเดือนพ.ย.2007 สมัยที่ สตีฟ แม็คคลาเรน เป็นกุนซือ
ด้าน อิตาลี หลังเสียท่าให้ อังกฤษ ที่ เวมบลีย์ พวกเขาก็เสียสถิติแพ้เป็นนัดแรกของเกมเยือนในศึก ยูโรรอบคัดเลือก จาก 23 เกมหลัง (ชนะ 17 เสมอ 5 แพ้ 1) นับตั้งแต่โดน ฝรั่งเศส บุกมาอัด 3-1 เมื่อเดือนก.ย.2006 จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยเพราะหากทีมเมืองพิซซ่าแบ่งแต้มไปจากทีมเมืองผู้ดีในเกมนี้ได้ พวกเขาก็จะสร้างสถิติใหม่ประดับทัวร์นาเมนต์เนื่องจากปัจจุบันพวกเขาครองสถิติไม่แพ้นัดเยือน 22 เกมหลังเท่ากับที่ โรมาเนีย ทำได้ระหว่างปี 1991-2007