กลายเป็นว่าสุดท้ายก็มีการเปลี่ยนคำตัดสินให้ลูกที่ 2 ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เป็นการยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลังจากเคยมีการระบุว่ามันเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ สเวน บ็อตมัน กองหลัง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
การเปลี่ยนคำตัดสินในครั้งนี้นอกจากจะทำให้ แรชฟอร์ด กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดแบบเดี่ยวๆ ของศึก คาราบาว คัพ ในฤดูกาล 2022-23 จากผลงาน 6 ประตูแล้วนั้น มันยังทำให้ "การทำเข้าประตูตัวเอง" ในนัดชิงดำของรายการนี้กลับมาเหลือเพียง 3 ครั้งเท่านั้น ลองย้อนกลับไปดูกันดีกว่าว่าเคยมีใครกันบ้าง
- โรเจอร์ เคนยอน (เอฟเวอร์ตัน) : 1977
ในนัดชิงชนะเลิศของ ลีก คัพ ฤดูกาล 1976-77 เอฟเวอร์ตัน โคจรมาเจอกับ แอสตัน วิลล่า ซึ่งเป็นทีมจาก ดิวิชั่น 1 หรือลีกสูงสุดของอังกฤษเหมือนกันในวันที่ 12 มีนาคม ปี 1977 โดยนัดแรกนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 0-0 และตอนนั้นวงการฟุตบอลอังกฤษยังใช้กฎที่ว่ารอบชิงชนะเลิศจะมีการ "รีเพลย์" หากจบลงด้วยการเสมอกัน ทำให้พวกเขาต้องดวลกันใหม่ใน 4 วันให้หลัง
ในนัดรีเพลย์นั้น เอฟเวอร์ตัน เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน ซึ่งมันมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของ เคนยอน โดยลูกดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 79 จากการที่บอลมันพัวพันอยู่ตรงเท้าของเขาแล้วสุดท้ายก็กลิ้งเข้าประตูไป และมันก็เกือบจะเป็นตราบาปของ เคนยอน แล้ว ยังดีที่ โรเบิร์ต เลชฟอร์ด มาตามตีเสมอให้กับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ได้ในช่วง 2 นาทีสุดท้าย ทำให้เกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 และต้องมี "นัดรีเพลย์นัดที่สอง"
สุดท้ายแล้วในนัดรีเพลย์นัดที่สองก็จบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ในช่วงเวลาปกติอีก แต่ตามกฎแล้วนั้นหนนี้ต้องเตะในช่วงต่อเวลาพิเศษกันแล้ว และเป็น วิลล่า ที่ได้แชมป์ไปครองจากประตูของ ไบรอัน ลิตเติ้ล ในนาทีที่ 119
- กอร์ดอน คริสโฮล์ม (ซันเดอร์แลนด์) : 1985
คริสโฮล์ม ถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่อยู่กับ ซันเดอร์แลนด์ อย่างยาวนาน โดยเขาเล่นให้ทีมมาตั้งแต่ปี 1978 และหลังจากไม่ได้แชมป์อะไรกับทีมเลยเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะได้ประสบความสำเร็จร่วมกับทีมเมื่อ ซันเดอร์แลนด์ ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของ ลีก คัพ ในฤดูกาล 1984-85 โดยมี นอริช ซิตี้ เป็นด่านรอรับมือพวกเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม คริสโฮล์ม ก็ต้องพบกับประสบการณ์สุดเลวร้ายเมื่อเขากลายเป็นคนทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 46 ในจังหวะที่ลูกยิงของ อาซ่า ฮาร์ทฟอร์ด ดาวเตะ นอริช มันไปแฉลบเขาแล้วเปลี่ยนทางเข้าประตู และนั่นก็ถือเป็นประตูชัยของ นอริช ด้วย โดยที่มันน่าเจ็บปวดมากกว่านั้นก็คือสุดท้ายในซีซั่น 1984-85 ซันเดอร์แลนด์ ก็ต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกต่างหาก ซึ่ง คริสโฮล์ม ก็แยกทางกับทีมในปี 1985 ด้วย
- สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ลิเวอร์พูล) : 2005
ลิเวอร์พูล เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของศึก ลีก คัพ ได้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ฤดูกาลหลังสุด ภายหลังเมื่อตอนฤดูกาล 2002-03 พวกเขาได้แชมป์ไปครอง แต่คู่แข่งในรอบชิงดำหนนี้เป็นงานหินพอตัว นั่นคือ เชลซี ของ โชเซ่ มูรินโญ่
ตอนแรก ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ตได้สวยเพราะขึ้นนำตั้งแต่ภายในช่วงนาทีแรกของการแข่งขันจากผลงานของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ซึ่งสถานการณ์ของ "หงส์แดง" ก็ดูดีมากๆ แต่พวกเขามาโดนตีเสมอในนาทีที่ 79 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ เจอร์ราร์ด ที่ตั้งใจจะโหม่งสกัดลูกฟรีคิกของ เปาโล แฟร์เรยร่า แต่กลายเป็นว่ามันผิดเหลี่ยมจนเข้าประตูไป
หลังจากนั้นไม่มีใครทำประตูเพิ่มได้จนทำให้ต้องเล่นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และสุดท้ายก็เป็น เชลซี ที่เอาชนะไปได้ 3-2 หลังได้ประตูเพิ่มจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในนาทีที่ 107 กับ มาเตย่า เคซมัน ในนาทีที่ 112 ส่วน ลิเวอร์พูล ได้ประตูเพิ่มจาก อันโตนิโอ นูนเญซ ในนาทีที่ 113
- เด็กเกร็ดบอล -