ยกนี้ บาร์เซโลน่า เด็ดขาดกว่า คราวหน้า มาดริด เอาคืนได้ไหม

ยกนี้ บาร์เซโลน่า เด็ดขาดกว่า คราวหน้า มาดริด เอาคืนได้ไหม
ผมเห็นด้วยกับ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่บอกว่ารูปเกมจริง ๆ แล้วไม่ได้ห่างชั้นกันเหมือนสกอร์ที่เกิดขึ้น..

ผลการแข่งขัน 0-4 คือความยับเยิน มันทำให้เราคิดไปถึงการไล่บดขยี้กันข้างเดียว ฝ่ายหนึ่งกระทำกับอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ฝั่งเดียว แต่เกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์เซโลน่า เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอย่างนั้น

เรอัล มาดริด แพ้ บาร์เซโลน่า ไหม.. แพ้ แน่นอน ชัดเจน กระทั่ง คาร์เลตโต้ เองก็ยังยอมรับว่าแพ้ เพียงแต่รูปเกมไม่ได้ห่างกันอย่างผลที่ออกมา

ราชันชุดขาวมีโอกาสมากมายในครึ่งแรก แต่พวกเขาตายตั้งแต่ด่านแรกคือแทบเอาชนะกับดักล้ำหน้าของบาร์เซโลน่าไม่ได้เลย หรือถ้าครั้งไหนหลุดไปได้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสที่มีให้เป็นประตูได้

8 ครั้งคือจำนวนการล้ำหน้าของทีมชุดขาวใน 45 นาทีแรก ในจำนวนนี้ 6 ครั้งเป็นของ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ คนเดียว

ถามว่า เรอัล มาดริด ล้ำหน้าทุกครั้งที่บุกใส่บาร์เซโลน่าไหมก็ไม่ใช่ มันก็มีจังหวะที่ตัวรุกของเจ้าถิ่นเอาชนะไลน์แนวรับอาคันตุกะได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดหายไปคือความเด็ดขาดที่ปกติจะมีมันอยู่เต็มเปี่ยม

ในอีกภาพหนึ่งการยืนแนวรับสูงของบาร์ซ่าคือความบ้าบิ่นของ ฮันซี่ ฟลิค เป็นการเล่นที่เสี่ยงมากโดยเฉพาะกับการรับมือนักเตะอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ และ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่มีความเร็วระดับท็อป

เพราะฉะนั้นในทางหนึ่งเราชื่นชมการเล่นดักล้ำหน้าที่ยอดเยี่ยมของบาร์เซโลน่า แต่ในอีกทางหนึ่งก็ต้องตั้งคำถามกับนักเตะเรอัล มาดริด เช่นกันว่ากับคู่แข่งที่เชื้อเชิญคุณขนาดนี้ คุณภาพอย่างพวกคุณแก้มันไม่ได้เลยจริง ๆ หรือ ถึงได้ออฟไซด์แล้วออฟไซด์อีกตลอดเวลา 45 นาทีเต็มอย่างนั้นในครึ่งแรก

ขุนพลที่ผ่านศึกเหนือศึกใต้มาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เพิ่งจะเป็นแชมป์ยุโรปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กองกลางมีรองแชมป์โลก 2 คน มีมิดฟิลด์ตัวรุกซูเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษอีกคน คู่กองหน้าคนหนึ่งยิงแฮตทริกในนัดชิงฟุตบอลโลกมาแล้ว ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นตัวเต็งบัลลงดอร์ แต่ปรับแก้จังหวะการให้บอลกับการออกตัวไม่ได้เลย

ไม่น่าเชื่อและน่าผิดหวังด้วยซ้ำที่นักเตะอย่าง เอ็มบั๊ปเป้, วินิซิอุส จูเนียร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, ออเรเลียง ชูอาเมนี่, เฟร์เด้ วัลเวร์เด้ และ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ต้องแพ้การเช็กไลน์ออฟไซด์ของแนวกองหลังบาร์ซ่าครั้งแล้วครั้งเล่า

แพ้มันหนแล้วหนเล่าเหมือนคนดื้อ คล้ายนักเตะระดับโลกทั้งหลายในเสื้อชุดขาวไม่ได้เรียนรู้จากการล้ำหน้าครั้งก่อน ๆ หน้านั้นเลย

ล้ำครั้งที่สองไม่ได้เรียนรู้จากครั้งที่หนึ่ง ล้ำครั้งที่สามไม่ได้เรียนรู้จากครั้งที่สอง เป็นอย่างนั้นไปตลอดครึ่งแรกจนถึงล้ำหน้าครั้งที่ 8 ที่ก็ยังเป็นการล้ำหน้าในแบบเดิม ๆ จาก 7 ครั้งที่ผ่านมา

นี่ต่างหากที่น่าผิดหวังถ้ามองจากฝั่งของ เรอัล มาดริด

แน่นอนครับ เราชื่นชมแนวรับทั้ง 4 คนของบาร์ซ่า ฌูลส์ กุนเด้, เปา กูบาร์ซี่, อินญิโก้ มาร์ติเนซ และ อเลฮานโดร บัลเด้ จังหวะของพวกเขาเป๊ะและแม่นยำมาก

เรื่องนั้นคือตัวตั้ง แต่นักเตะเวิลด์คลาสที่เดินชนกันหัวแตกของมาดริดก็ต้องพิจารณาถึงความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเองเช่นกันเมื่อได้มาเห็นสถิติล้ำหน้า 8 หนในครึ่งแรก และ 12 หนตลอดทั้งเกม

เรอัล มาดริด ไม่ใช่ไม่มีโอกาส แต่โอกาสเหล่านั้นถูกจำกัดด้วยปัจจัย 3-4 อย่างทั้งความยอดเยี่ยมในการเช็กล้ำหน้าของบาร์ซ่า ความไม่ละเอียดพอที่จะเอาชนะกับดักล้ำหน้า ความไม่เด็ดขาดในการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตู รวมทั้งความเหนียวหนึบของ อินญากี้ เปนญ่า นายทวารทีมอาซุลกราน่าที่ปัดป้องลูกอันตรายได้หมดโดยเฉพาะจังหวะปัดลูกชาร์จของเบลลิงแฮมเหลือเชื่อ

ผมคิดว่า ฮันซี่ ฟลิค มองเห็นความสุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกเช่นกันว่า แม้การดักล้ำหน้าจะทำได้ดีเยี่ยมแต่บอลของมาดริดทะลุเข้าช่องหวาดเสียวบ่อยหน การลงสนามของ เฟร้งกี้ เด ยอง มาคุมหน้าไลน์แนวรับตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลังคือคำตอบว่าฟลิคไม่อยู่เฉยกับความเสี่ยงนั้น

ถอด เฟร์มิน โลเปซ ตัวรุกออก ส่ง เด ยอง ตัวคุมจังหวะและเชื่อมเกมจากแดนหลังสู่แดนกลางลงมา พร้อมปรับการเล่นเน้นบอลไดเร็กต์พุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้น วางบอลยาวมากขึ้น ลดขั้นตอนการครองบอลกลางสนามที่ต้องเจอกับการไล่บีบกดดันของเจ้าถิ่นลงไป ใช้ความเร็วของตัวหน้าให้เป็นประโยชน์

กุญแจสำคัญคือการจุดระเบิดที่ เรอัล มาดริด ใช้ไปอย่างไม่ยั้งในครึ่งแรก ลามีน ยามาล ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่าทีมของเขาสังเกตเห็นว่านักเตะมาดริดหมดแรงไปเยอะมากใน 45 นาทีแรกของเกม ฉะนั้นบาร์ซ่าจึงชวนทะเลาะเปิดหน้าลุยไม่หยุดในครึ่งหลัง

ความไม่เลินเล่อ มีสติตลอดเวลา และกล้าปรับแก้เกมในจุดที่ถูกต้องของฟลิคนำมาซึ่งชัยชนะในเกมนี้

ความเด็ดขาดและวินัยในเกมรับยังเป็นสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างทั้ง 2 ทีมเช่นกัน บาร์เซโลน่าเองแม้จะมีจังหวะยิงทิ้งยิงขว้างไปบ้างไม่น้อย แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังทำประตูได้ถึง 4 ลูก

ประตู 1-0 กับ 2-0 ของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คือจังหวะที่กองหน้าระดับเขาต้องไม่พลาด.. เขาทำได้ แม้อันที่จริงควรจะได้แฮตทริกไปแล้ว

ประตู 3-0 คือความยอดเยี่ยมในการสับไกของ ลามีน ยามาล.. ในวัย 17 ปีกับอีก 106 วันเขาคือนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในเอล กลาซิโก้

ประตู 4-0 คือไหวพริบที่ดีของ ราฟินญ่า ที่กระดกบอลข้ามหัว อังเดร ลูนิน

ทั้ง 4 ประตูมาจากความผิดพลาดในการยืนตำแหน่งของแนวรับทีมชุดขาว มันลงเอยด้วยการถูกลงโทษทั้งหมด

แฟร์กล็องด์ เมนดี้ ยืนห้อยอยู่คนเดียวในลูกแรก

การประกบที่หละหลวมของคู่เซนเตอร์ในลูกที่สอง

การทิ้งตำแหน่งขึ้นมาตามเลวานดอฟสกี้แต่เอาไม่อยู่ของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ในลูกที่สาม

การยืนต่ำสุดคนเดียวของ ลูกัส บาซเกซ ในประตูที่สี่

บาร์เซโลน่าคู่ควรกับการเป็นผู้ชนะ ขณะที่ เรอัล มาดริด อาจจะเป็นราชันผู้ยิ่งยงในเวทียุโรป แต่กับฟุตบอลเมืองกระทิง ทีมอาซุลกราน่าคือกระดูกขัดมันชิ้นโตที่คอยขัดขวางพวกเขาอยู่โดยแท้ และจะเป็นคู่ปรับกันไปตลอดกาล

เส้นทางยังอีกยาวไกลครับ ก็เหมือนที่อันเชล็อตติบอกนั่นแหละ มันคือความพ่ายแพ้นัดเดียว ฤดูกาลล่าสุดที่มาดริดแพ้บาร์ซ่าคาบ้าน 0-4 ในลีก พวกเขาเป็นแชมป์ลา ลีกา

ไม่ใช่การพูดแก้เก้อ แต่มันคือเรื่องจริง แถมยังเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2021/22 นี้เอง ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง (2 ประตู) โรนัลด์ อเราโฮ่ และ เฟร์ราน ตอร์เรส ช่วยกันยิงให้ทีมเลือดหมู-น้ำเงินบุกถล่ม 4-0 ถึง ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แต่แชมป์ลา ลีกา ซีซั่นนั้นตกเป็นของเรอัล มาดริด

สิ่งที่คาร์เลตโต้ต้องการสื่อคงไม่ใช่ความหมายที่ว่า เรอัล มาดริด จะเป็นแชมป์แน่นอนหรือถึงอย่างไรทีมของเขาก็จะได้แชมป์ร้อยเปอร์เซนต์อะไรอย่างนั้น แต่คือเราอย่าเพิ่งด่วนตัดสินอนาคตกันด้วยผลแพ้ชนะยับเยินแค่เกมเดียว

เรื่องที่แน่นอนคือทั้ง 2 ทีมต่างยังมีภารกิจอีกมากที่ต้องทำ และตลอดระยะเวลาอีก 7 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางก็ไม่รู้

ที่อันเชล็อตติพูดคือเรื่องจริง ไม่มีใครรู้อนาคต และบทสรุปสามารถพลิกผันไปจากสถานการณ์ ณ เวลานั้น ๆ ได้อย่างน่าตลก มันเกิดขึ้นมาแล้วนักต่อนัก

มันอาจจะเป็นบาร์เซโลน่าลากยาวตลอดทางทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นก็ได้ อาจต้องลุ้นเหงื่อตกจนถึงนัดสุดท้ายก็ได้ อาจหลุดวงโคจรดื้อ ๆ ไปก่อนหน้านั้นก็ได้ หรืออาจจะมีทีมม้ามืดสักทีมโผล่ขึ้นมาปาดหน้าเป็นแชมป์ก็ได้..

ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น กับระบบลีกที่เตะกัน 38 นัด 10 เดือนเต็ม

กระนั้นเรื่องสำคัญที่ผมมองเห็นและยังคงเป็นเหมือนเดิมก็คือศึกเอล กลาซิโก้ แทบไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลย

มันสนุก ตื่นเต้น บู๊ล้างผลาญ สมฐานะที่เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฟาดฟันไม่ยอมกัน

พูดได้เต็มปากว่าสู้กันอย่างสมเกียรติยิ่งใหญ่ที่ต่างฝ่ายมี ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่มีใครหงอ ไม่มีใครฝ่อ ใจถึงกันทั้งคู่

กูไม่กลัวมึง..

ผลแพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นใครทำได้ดีกว่า แต่สำหรับเกมอย่างนี้แล้ว แฟนบอลย่อมคาดหวังอะไรบางอย่างนอกเหนือไปกว่านั้น

นั่นคือพวกเขาอยากเห็นฟุตบอลที่เล่นกันอย่างสมกับที่เป็นทีมใหญ่ สู้ยิบตาเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของสโมสร และสามารถเชิดหน้าขึ้นสู้ได้ไม่อายใครแม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

สิ่งเหล่านี้แฟนบอลสัมผัสได้..

เรอัล มาดริด - บาร์เซโลน่า

บาร์เซโลน่า - เรอัล มาดริด

ไม่ว่าจะเจอกันที่ไหน เมื่อไหร่ หรือฟอร์มการเล่นล่าสุดของแต่ละทีมเป็นอย่างไร เราแทบไม่เคยผิดหวังกับความสนุกของเกม

ไม่มีคำว่าจืดชืด ต่อให้เสมอ 0-0 หรือยิงไม่มากแค่ 1-2 ประตูมันก็ยังเร้าใจ มิพักต้องพูดถึงสกอร์น่าตกตะลึงจำพวก 5-0, 5-1, 4-0, 4-1, 4-3 หรือ 3-0 ที่เกิดขึ้นเป็นพัก ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วระหว่างคู่นี้

ดูครึ่งแรกของเกมเมื่อคืนนี้ก็ได้ครับ สกอร์บอร์ดไม่ทำงานแต่คนดูทั่วโลกลุ้นกันชนิดใจเต้นรัว นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ คล้ายดูรถแข่งฟอร์มูล่าวันวิ่งสวนทางกันด้วยความเร็วเต็มพิกัด

เจอกันยกนี้ บาร์เซโลน่า เด็ดขาดและเฉียบคมกว่า เจอกันคราวหน้าน่าสนใจว่า เรอัล มาดริด จะกลับมาเอาคืนได้ไหม

แสดงความยินดีกับบาร์เซโลน่าผู้ชนะ แต่ก็ขอขอบคุณนักเตะทั้ง 2 ทีมที่ร่วมกันรังสรรค์เกมฟุตบอลที่สนุกมาก ๆ อีกเกมหนึ่งให้พวกเราได้ชมกัน

รอดูการพบกันนัดต่อไปนะครับ..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport