โทษฐานที่ จู๊ด เบลลิ่งแฮม มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ เพิ่งย้ายจาก ดอร์ทมุนด์ สู่ เรอัล มาดริด ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงขันอาสาหาข้อมูลของบรรดานักเตะอิงลิชชนคนเคยโลดแล่นในเวทียุโรป มาให้คุณผู้อ่านได้ทราบโดยทั่วกัน!!
[ 1 ] ลอรี่ คันนิ่งแฮม
ปีกซ้ายผิวสีคือหนึ่งในอิงลิชชนกลุ่มแรกๆ ที่ไปเล่นต่างแดน แถมพี่แกยังได้ดิบได้ดีกับ เรอัล มาดริด อีกต่างหาก ซึ่งเพื่อนร่วมทีมของเขาคือ บินเซนเต้ เดล บอสเก้ อดีตกุนซือทีมชาติสเปน นั่นเอง
คันนิ่งแฮม เป็นแนวรุกที่มีความไวเป็นอาวุธ เริ่มต้นอาชีพกับ โอเรียนต์ แต่มาโด่งดังจนติดทีมชาติอังกฤษ สมัยเล่นให้ เวสต์บรอมวิช กระทั่งถูกราชันชุดขาวมาซื้อตัว และก็ได้แชมป์ ลา ลีกา ทันที ในฤดูกาล 1979-80
ครั้งหนึ่ง เดล บอสเก้ เคยเอ่ยปากชมเพื่อนเก่าคนนี้ว่าเป็น 'คริสเตียโน่ โรนัลโด้' ในยุค 80'
นอกจาก เรอัล มาดริด - เขาเคยไปเล่นในฝรั่งเศส กับ มาร์กเซย, ราโย บาเยกาโน่ (สเปน) และ ชาร์เลอรอย (เบลเยียม) อย่างไรก็ตาม คันนิ่งแฮม เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่สเปน ทำให้ต้องจบเส้นทางลูกหนังทั้งๆ ที่อายุเพิ่ง 33 ปี เท่านั้น
__________
[ 2 ] เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ล
ในสมัยที่ ฮอดเดิ้ล ยังโลดแล่นอยู่บนฟลอร์หญ้า เขาถูกยกย่องให้เป็นกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมที่ดีที่สุดของอังกฤษ โดยเฉพาะผลงานการพา สเปอร์ส คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย ติดต่อกัน และตนเองก็ได้รับเลือกให้เป็น 'ดาวรุ่งยอดเยี่ยม' ของ ดิวิชั่น 1 (พรีเมียร์ลีก ในปัจจุบัน) เมื่อปี 1980
ความเก่งกาจของเขาทำให้ได้ย้ายไป โมนาโก ยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส ที่ร้างลาถ้วยรางวัลมานานเกือบสิบปี และมิดฟิลด์สิงโตคำรามก็พาทีมประสบความสำเร็จกับการได้แชมป์ลีกสูงสุดฤดูกาล 1987-88 แถมตัวเองก็ถูกรับเลือกให้เป็น 'ผู้เล่นต่างชาติยอดเยี่ยม' ในซีซั่นนั้นเอง
พอแขวนสตั๊ด ฮ็อดเดิ้ล หันสู่ทางโค้ช และก็เคยคุมทีมชาติอังกฤษ ไปไกลถึงรอบ 4 ทีม สุดท้ายของศึก ยูโร 1996 มาแล้ว
__________
[ 3 ] พอล แกสคอยน์
หนึ่งในนักฟุตบอลสุดมหัศจรรย์เท่าที่อังกฤษ เคยมีมากับท่วงท่าในการเล่นฟุตบอลอันเปี่ยมไปด้วยจินตนาการและยังสร้างความแตกต่างได้เพียงเสี้ยววินาที
แกสคอยน์ เริ่มสร้างชื่อกับ นิวคาสเซิ่ล ก่อนจะพีกต่อเนื่องที่ สเปอร์ส กระทั่งได้ย้ายไป ลาซิโอ ทีมดังของอิตาลี แต่ไม่มีถ้วยรางวัลติดมือ ทว่าพอไป กลาสโกว เรนเจอร์ส พี่แกกวาดถ้วยรางวัลเป็นว่าเล่นตลอด 3 ฤดูกาลในสกอตแลนด์
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ชีวิตนอกสนามค่อนข้างอีรุงตุงนัง ฟอร์มการเล่นของเขาดร็อปลงเรื่อยๆ ก่อนที่ช่วงบั้นปลายจะไปเล่นในลีกจีน อยู่ช่วงสั้นๆ และกลับมาแขวนสตั๊ดที่ บอสตัน ยูไนเต็ด สโมสรในระดับ ลีก ทู เมื่อปี 2004
__________
[ 4 ] แกรี่ ลินิเกอร์
มิสเตอร์ ไนซ์ กาย โด่งดังมากับ เลสเตอร์ ตั้งแต่ ดิวิชั่น 2 และค่อยๆ พาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด และคว้ารางวัล 'ดาวซัลโว' ดิวิชั่น 1 ซีซั่น 1984-85 จนถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษ เป็นหนแรกในปี 1984
ผลงานของเขาพุ่งสูงขึ้นในทุกๆ ปี กระทั่งได้ย้ายไป เอเวอร์ตัน ในฤดูกาล 1985-86 และก็ยิงซัดกระจุยจนตนเองเป็นดาวซัลโวสูงสุด 2 ปี ซ้อน ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ได้โยกสู่ บาร์เซโลน่า ก่อนพาบาร์ซ่าคว้าแชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ
เท่านั้นไม่พอ ในฟุตบอลโลกปี 1986 แม้อังกฤษ จะไปไม่ถึงดวงดาว แต่ตัว ลินิเกอร์ ได้รางวัลรองเท้าทองคำกับการทำสกอร์ไป 8 ลูก สูงที่สุดในทัวร์นาเมนต์นั้น
เขากลับมาค้าแข้งในอังกฤษ อีกครั้งกับ สเปอร์ส และไปปิดฉากอาชีพนักเตะที่ นาโกยะ แกรมปัส เอต โดยปัจจุบัน มิสเตอร์ ไนซ์ กาย กลายเป็นนักวิเคราะห์ฟุตบอลชื่อดังของดินแดนผู้ดี
__________
[ 5 ] คริส ว็อดเดิ้ล
ช่วงชีวิตของ ว็อดเดิ้ล คล้ายๆ กับ ฮ็อดเดิ้ล เพราะสร้างชื่อที่ นิวคาสเซิ่ล และไปต่อยอดตอนอยู่ สเปอร์ส แถมยังย้ายไปเล่นในฝรั่งเศส อีกต่างหาก ทว่ารายนี้นั้นมุ่งหน้าสู่ มาร์กเซย ในฤดูกาล 1985-86
ชีวิต 3 ซีซั่นที่นั่น เขาประสบความสำเร็จกับ โอแอ็ม มากๆ ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยซ้อน พ่วงด้วยรองแชมป์ ยูฟ่า คัพ อีกหนึ่งหน
ว็อดเดิ้ล กลับมาอังกฤษ โดยเล่นให้ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ก่อนจะย้ายไปอีกหลายสโมสร และปิดท้ายอาชีพที่ ทอร์คีย์ ยูไนเต็ด ทีมใน ดิวิชั่น 3
__________
[ 6 ] เทรเวอร์ ฟรานซิส
หลังจาก 7 ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับ เบอร์มิ่งแฮม - ฟรานซิส ย้ายไปลีกสหรัฐอเมริกา ที่ ดีทร๊อยต์ เอ็กซ์เพรสส์ ในรูปแบบของการยืมตัวเมื่อปี 1978 และก็ยิงสนั่นจนพาทีมคว้าแชมป์ลีกทันที
พอกลับมาจากดินแดนแห่งเสรีภาพ เขามาเล่นให้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงสั้นๆ แล้วไปต่อในอิตาลี กับ ซามพ์โดเรีย รวมไปถึง อตาลันตา ก่อนจะข้ามกลับมาสหราชอาณาจักร โดยมีปลายทางคือ กลาสโกว เรนเจอร์ส
พอหมดสัญญากับ เรนเจอร์ส - ฟรานซิส ย้ายไปลีกออสเตรเลีย และกลับอังกฤษ มาปิดฉากชีวิตค้าแข้งที่ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์
__________
[ 7 ] เดวิด แพล็ตต์
อีกหนึ่งนักเตะอังกฤษ ที่ได้ดิบได้ดีในเวทีอิตาลี แม้จะเริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ได้เล่นให้ปีศาจแดงเลย ทว่า แพล็ตต์ ไปเติบใหญ่ที่ แอสตัน วิลล่า แถมสร้างชื่อใน เวิร์ล คัพ 1990 จนถูก บารี่ มากระชากตัวไปในฤดูกาล 1991-92
ผลงานที่ บารี่ เพียงซีซั่นเดียว แต่เปล่งประกายฉายแสงจนได้ย้ายไปสโมสรใหญ่อย่าง ยูเวนตุส ก่อนจะคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ 1992-93 และทำให้ได้ไปต่อที่ ซามพ์โดเรีย และก็มีโทรฟี่ โคปา อิตาเลีย มาประดับบารมี
ตลอด 4 ฤดูกาลในอิตาลี - แพล็ตต์ พิสูจน์ให้เห็นว่าแข้งอังกฤษ ก็มีดีไม่แพ้ใคร เพราะห้วงเวลานั้นนักเตะจากแดนผู้ดี แทบไม่ได้รับการเหลียวมองจากทีมดังในยุโรป เลย
__________
[ 8 ] สตีฟ แม็คมานามาน
ตำนานนักเตะ ลิเวอร์พูล และเป็นปีกทีมชาติอังกฤษ ที่ลงสนามอย่างสม่ำเสมอในยุคกลาง 90' ตัดสินใจย้ายไปหาความท้าทายในลีกยุโรป และเป็น เรอัล มาดริด ที่มาเซ็นสัญญาไปในฤดูกาล 1999-2000
ทีแรกเป็นที่หวั่นเกรงว่า แม็คมานามาน จะไปได้ดีหรือเปล่าในฐานะนักเตะราชันชุดขาว เพราะที่นั่นอุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ทั้งนั้น ทว่าแนวรุกร่างบางก็ใช้ผลงานในสนามตอบแทนทุกอย่าง ด้วยการลงสนามไปถึง 157 เกม ทำไป 14 ประตู และมี 33 แอสซิสต์
เท่านั้นไม่พอ เขายังได้แชมป์ ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ เรอัล มาดริด อย่างละ 2 สมัย ก่อนย้ายกลับมาแขวนสตั๊ดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
__________
[ 9 ] เดวิด เบ็คแฮ่ม
เทพบุตรลูกหนังของวงการฟุตบอลโลกย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป เรอัล มาดริด แบบช็อกแฟนฟุตบอลทั้งปฐพีเมื่อปี 2003
ก่อนหน้าไม่มีใครคาดคิดว่า เบ็คแฮ่ม จะโบกมือลาปีศาจแดง เพราะเขาเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของสโมสร แถมการไปราชันชุดขาวในห้วงเวลานั้น ยังสุ่มเสี่ยงจะต้องนั่งสำรอง เนื่องจากมีทั้ง ซีเนอดีน ซีดาน, หลุยส์ ฟิโก้ และ กูตี ซึ่งถือเป็นมิดฟิลด์ระดับเวิร์ลคลาสทั้งนั้น
ทว่ากัปตันทีมชาติอังกฤษ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม พร้อมทำสถิติลงเล่นให้ เรอัล มาดริด ไปถึง 155 เกม ทำได้ 20 ประตู โดยเฉพาะฤดูกาล 2006-07 ที่ถูก ฟาบิโอ คาเปลโล่ กุนซืออิตาลี จับดอง แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ เขาสู้จนกลับมาเป็นตัวจริง และมีส่วนสำคัญมากๆ กับการคว้าแชมป์ ลา ลีกา ในซีซั่นนั้น
นอกจากสเปน เบ็คแฮ่ม ย้ายไปเล่นในสหรัฐอเมริกา (แอลเอ แกแล็กซี่) แล้วต่อด้วยฝรั่งเศส (ปารีส แซ็ง-แชร์กแมง) ก่อนจะปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลที่อิตาลี (เอซี มิลาน)
__________
[ 10 ] เควิน คีแกน
คีแกน คือหนึ่งในผู้เล่นอังกฤษ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประติศาสตร์ กับผลงานสนั่นเมืองในฐานะนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ได้แชมป์ลีก 3 สมัย พ่วงด้วย ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน) อีกหนึ่งใบ
เขาย้ายไป ฮัมบูร์ก ในฤดูกาล 1977-78 พร้อมกับทำสถิติตลอด 3 ซีซั่น ลงสนามไปกว่า 112 เกม ยิงได้ 40 ประตู โดยได้แชมป์ บุนเดสลีกา 1 ครั้ง แต่ตนเองเกรียงไกรถึงขนาดคว้า บัลลง ดอร์ ได้ 2 ปี ติดต่อกัน (1978 และ 1979)
__________