การเจอกันครั้งที่ 231 ในประวัติศาสตร์ระหว่าง เรอัล มาดริด กับ แอตเลติโก มาดริด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา ถือเป็นเกมที่สนุกและสูสีกันพอตัวจนถึงขั้นต้องไปตัดสินผู้ชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ฝั่ง "ราชันชุดขาว" จะเป็นฝ่ายได้เฮด้วยสกอร์ 3-1
นอกจากรูปเกมที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดแล้วนั้น ดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงมาดริดครั้งนี้ยังทำให้เกิดเกร็ดที่น่าสนใจบางประเด็นเช่นกัน ซึ่งมันก็มีอันที่ตอกย้ำถึงความยอดเยี่ยมของคนจากทั้ง 2 ทีมรวมอยู่ด้วย โดยเราจะมาพูดถึงบางประเด็นกัน
- โมราต้า ผู้ปลดล็อค
แอต. มาดริด มักจะถูกมองว่าเป็นรอง เรอัล มาดริด มาโดยตลอด ด้วยความที่พวกเขามีขุมกำลังโดยรวมที่อาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย หรือไม่ก็มีเงินให้ใช้สำหรับการเสริมทัพน้อยกว่า แต่เชื่อหรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ แอต. มาดริด ทำประตูในการเยือนคู่อริร่วมเมืองไม่ได้มาถึง 4 เกมติดต่อกันแล้ว จนถือเป็นสถิติการเท้าบอดเวลาเยือน เรอัล มาดริด ที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม โมราต้า ก็สามารถทำลายอาถรรพ์ที่ว่าได้สักทีด้วยการเป็นคนทำประตูขึ้นนำให้ทีมในนาทีที่ 19 นอกจากนี้ ประตูดังกล่าวก็ยังถือเป็นลูกที่ 16 ของเขากับการเล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ด้วย ซึ่งนี่ก็นับเป็นสนามที่เขามีชื่อเป็นผู้ทำประตูมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม เพียงแห่งเดียว โดย โมราต้า เคยยิงที่ อัลลิอันซ์ สเตเดี้ยม ได้ทั้งหมด 24 ลูก
- ฮีโร่ที่ยังชื่อ เบนเซม่า
แม้ว่าจะโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนทำให้ต้องพักจากการลงเล่นไปช่วงหนึ่ง แต่ความเฉียบคมในการจบสกอร์ของ คาริม เบนเซม่า ก็ยังไม่หายไปมากนัก โดยประตูในนัดล่าสุดทำให้เท่ากับว่าเขายิงให้ทีมในซีซั่นไปแล้ว 13 ลูกจากการลงเล่น 19 นัดในทุกรายการ
ที่น่าทึ่งมากกว่านั้นก็คือ ในจำนวน 4 ประตูหลังสุดที่ มาดริด ทำได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมฟุตบอลถ้วยนั้น มันมาจากผลงานของ เบนเซม่า ถึง 3 ลูกเลยทีเดียว โดย 2 ประตูก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดสองของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2021-22 ที่ มาดริด เจอกับ เชลซี และรอบรองชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นเดียวกัน ที่ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ผ่าน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปได้
- ซิเมโอเน่ ตัวตึง
ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอนาคตของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กับ แอต. มาดริด เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน หลังจากหลายคนมองว่าซีซั่นนี้ผลงานของทีมไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร แถมเขายังเหลือสัญญากับทีมจนถึงแค่กลางปีหน้าเท่านั้น ทำให้บางคนมองว่ามันอาจจะถึงเวลาสำหรับกุนซือคนใหม่แล้ว
ถึงกระนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องเจอกับ เรอัล มาดริด ในเกมฟุตบอลถ้วยแล้วนั้น ซิเมโอเน่ มักจะทำให้ "ราชันชุดขาว" ลิ้นห้อยได้อยู่เสมอ โดยนี่นับเป็นนัดที่ 6 ที่ แอต. มาดริด ยุคของ ซิเมโอเน่ ได้เจอกับ เรอัล มาดริด ในเกมฟุตบอลถ้วยแบบเตะกันนัดเดียวจบ ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่ามันต้องลากยาวไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษเป็นอย่างน้อยครบทั้ง 6 นัด
สำหรับ 5 ครั้งก่อนหน้านี้นั้น ประกอบด้วยเกม โกปา เดล เรย์ นัดชิงชนะเลิศของฤดูกาล 2012-13 ที่ทีมของ ซิเมโอเน่ ชนะไป 2-1, นัดชิงดำของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2013-14 ที่ เรอัล มาดริด รัว 3 ลูกในช่วงต่อเวลาพิเศษจนชนะ 4-1, นัดชิงชนะเลิศของ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2015-16 ที่ เรอัล มาดริด ชนะในช่วงดวลจุดโทษ, เกม ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2018 ที่ทัพ "ตราหมี" กำชัยด้วยสกอร์ 4-2 และเกม สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ปี 2020 ที่ เรอัล มาดริด ได้เฮช่วงดวลเป้า
- เด็กเกร็ดบอล -