ศึกเอฟเอ คัพ 2023/2024 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์ เป็นการดวลกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยแมตช์นี้มีความสำคัญอย่างมากกับทั้งสองสโมสร โดยเฉพาะ "ปีศาจแดง" เพราะถ้าพวกเขาได้แชมป์จะทำให้ทีมคว้าโควตาไปเล่นยูโรปา ลีก ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ก็ต้องการความสำเร็จในรายการนี้ เนื่องจากจะทำให้พวกเขาได้จบซีซั่นแบบเท่ๆ ในฐานะดับเบิ้ลแชมป์ และยังเป็นการสร้างความยิ่งใหญ่เหนือกว่าคู่อริร่วมเมือง ที่สำคัญยังเป็นการตอกย้ำให้โลกได้รู้ว่า "เมืองแมนเชสเตอร์เป็นสีฟ้า"
1. แมนซิตี้ กำลังใจเต็มเปี่ยม, แมนยู สู้เพื่อแฟนบอล
สำหรับตอนนี้ถ้าหากพูดถึงเรื่องกำลังใจแน่นอนว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีเต็มเปี่ยม จากความสำเร็จในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลล่าสุด และเป็นการคว้าแชมป์ 4 สมัยซ้อนซึ่งเป็นทีมแรกในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอังกฤษ
แน่นอนว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเขาก็คือการปราบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมนัดชิง วันเสาร์นี้ เพราะนั่นจะทำให้ทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ แต่กระนั้น "ปีศาจแดง" คงไม่ยอมง่ายๆ เพราะพวกเขาก็ต้องการคว้าสำเร็จเพื่อชดเชยผลงานที่ล้มเหลวในฤดูกาลนี้
หากพิจารณาเฉพาะแค่ผลงานในซีซั่นล่าสุด ต้องยอมรับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด น่าผิดหวังมากๆ เนื่องจากผลงานไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยทั้งตกรอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ร่วง คาราบาว คัพ และจบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก ฉะนั้น เอฟเอ คัพ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้ฤดูกาล 2023/2024 ของพวกเขาไม่เลวร้ายจนเกินไป
ถ้าหากมองกันตามเนื้อผ้า แมนฯ ซิตี้ ค่อนข้างได้เปรียบแทบทุกกระบวนท่า แต่สำหรับเกมเอฟเอ คัพ ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และยิ่งเป็นศึกศักดิ์ศรีแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ เชื่อได้เลยว่าลูกทีมของเอริค เทน ฮาก พร้อมสู้ถวายหัวเพื่อนำโทรฟี่ใบนี้ไปประดับตู้โชว์ในสนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ให้ได้
2. ขุมกำลังสำรองอาจพลิกเกม
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบที่หลายคนมองเห็นชัดเจนก็คือขุมกำลังของ แมนซิตี้ เพราะพวกเขามีนักเตะฟิตเต็มร้อยที่พร้อมลงสนาม โดยขาดแค่ เอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูซึ่งได้รับบาดเจ็บกระดูกเบ้าตาแตก และไม่สามารถลงเฝ้าเสาได้แน่นอน
นอกจากนี้ผู้เล่นอย่าง ฟิล โฟเด้น ซึ่งได้รับโหวตคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก และนักเตะยอดเยี่ยมสมาคมนักข่าวฟุตบอลอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ฟอร์มกำลังร้อนแรงสุดขีด และเมื่อได้ประสานงานกับ เควิน เดอ บรอยน์ กับ เออร์ลิง ฮาลันด์ งานนี้บอกเลยว่า เป๊ป แอนด์ โค. พร้อมที่จะทะลุทะลวงแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตลอดเวลา
ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับข่าวดีจากการที่ ลีซานโดร มาร์ตีเนซ กลับมาฟิตสมบูรณ์พร้อมยืนเป็นตัวหลักในแนวรับ แม้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ จะหมดสิทธิ์ลงสนามเพราะหายเจ็บไม่ทัน แต่ "เร้ด เดวิลส์" ได้ ราฟาแอล วาราน คืนทัพ ซึ่งน่าจะทำให้กองหลังของทีมแข็งแกร่งขึ้น
สำหรับ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีมน่าจะไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แต่จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือกำลังสำรอง เพราะถ้าพิจารณาแล้ว เป๊ป แอนด์ โค. มีขุมกำลังเชิงลึกดีกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด และนี่อาจจะเป็นจุดที่พลิกชะตาของแมตช์นี้เลยก็ว่าได้
3. นัดชิงประวัติศาสตร์
ต้องบอกเลยว่าในประวัติศาสตร์ 139 ปีของ เอฟเอ คัพ นี่นับเป็นครั้งแรกที่คู่ชิงดำคือคู่เดิม 2 ฤดูกาลติด เพราะจะเป็นศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามเวมบลีย์
ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะนี่เป็นโอกาสทองสำหรับ แมนฯ ซิตี้ ที่พวกเขาจะกลายเป็นทีมแรกนับตั้งแต่ปี 2015 ที่จะป้องกันแชมป์รายการนี้ได้ด้วย โดยทีมสุดท้ายที่ทำแบบนั้นได้คือ อาร์เซน่อล ซึ่งได้แชมป์ในซีซั่น 2013/2014 ตามด้วยฤดูกาล 2014/2015
ขณะที่สำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าพวกเขาเป็นเจ้าพ่อฟุตบอลถ้วยเก่าแก่สุดในโลก เมื่อกลายเป็นทีมที่เข้าถึงรอบชิงดำของ เอฟเอ คัพ ได้มากที่สุดแบบเดี่ยวๆ ที่จำนวน 22 ครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ครองสถิติที่ 21 หนร่วมกับ อาร์เซน่อล
สำหรับการชิงชัยในเกมเอฟเอ คัพ นอกจากจะเป็นการสร้างเกียรติยศให้กับทั้งสองทีมแล้ว แต่มันคงเกมแห่งศักดิ์ศรี เพราะถ้าพวกเขาได้แชมป์ นั่นหมายความว่าแฟนบอลของทีมคงได้ใจฟู และยังมีโอกาสได้ "ขิง" อีกฝ่ายให้จมดินด้วย
4. แมนยูต้องการแชมป์เพื่อกรุยทางสู่ยูโรปา ลีก
การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ นอกจากจะเป็นเกียรติยศสู่ แมนฯ ยูฯ แล้ว ยังมีความหมายต่อการได้โควตาไปเล่นในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่มด้วย เพราะผลงานในพรีเมียร์ลีกของพวกเขาจบอันดับ 8 ไม่ได้สิทธิ์อะไรทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้เกมวันเสาร์จึงมีความหมายอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นการคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ของ "ปีศาจแดง" ยังส่งผลกระทบกับทัพ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ซึ่งจบอันดับ 6 เหนือกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องโดนริบสิทธ์ยูโรปา และหล่นไปเล่น คอนเฟอเรนซ์ ลีก เช่นเดียวกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่จบอันดับ 7 ถือว่าดวงแตกสุดๆ เพราะจะหมดสิทธิ์ได้โควตาไปลุยฟุตบอลถ้วยยุโรปไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ถ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ นั่นหมายความว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะพลาดโควตาฟุตบอลถ้วยยุโรปทุกรายการ และจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2014/2015 ที่ "ผีแดง" ไม่ได้ร่วมโม่เกือกในเวทียุโรป
ทั้งนี้การดวลกันระหว่างสองยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ในเกมฟุตบอลถ้วยเก่าแก่ที่สุดในโลกฤดูกาลนี้ จะเป็นการพบกันครั้งที่ 11 โดย 10 ครั้งก่อนหน้านี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เหนือกว่าตรงที่คว้าชัยชนะ 6 ครั้ง ส่วน แมนฯ ซิตี้ ทำได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้น
5. จบ เอฟเอ คัพ จบงาน เทน ฮาก ?
ตอนนี้กระแสปลด เทน ฮาก มาแรงเหลือเกิน และยิ่ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เพิ่งแยกทางกับ เชลซี ทำให้มีการเรียกร้องจากแฟนบอล "ผีแดง" จัดการเด้ง กุนซือชาวดัตช์ ให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้นำ "พอช"เข้ามาปลุกปั้นทีม เพราะเชื่อว่านี่คือกุนซือที่เหมาะสมที่สุดที่จะนำทีมคืนสู่ความยิ่งใหญ่
เทน ฮาก ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันจากผลงานของทีมที่ย่ำแย่เกินทนกับ แมนฯ ยูไนเต็ด แม้เขาจะนำต้นสังกดทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ ก็ตาม แต่ดูเหมือนบอร์ดบริหารไม่ต้องการเห็นเขาทำหน้าที่กุมบังเหียนสโมสรอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้ทำให้สื่อหลายสำนักรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า เทน ฮาก เตรียมเก็บเสื้อผ้าออกจากถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ หรือไม่ก็ตาม ยังไงบอร์ดบริหารก็ไม่เอาไว้
หลายคนอาจไม่เชื่อว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นถ้า กุนซือหัวใส คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ แต่อยากจะบอกว่ามันเคยเกิดกับ "ผีแดง" มาแล้วเมื่อปี 2016 ตอนที่ หลุยส์ ฟาน กัล นำทีมคว้าแมป์ เอฟเอ คัพ แต่สุดท้ายโดนปลดทิ้ง เพราะทีมอยากได้ โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทัพ !!!
ทอมเม้ง