แมนยู เหมือนตายแล้วฟื้นเมื่อพลิกสถานการณ์จากที่เป็นรองในการดวลลูกโทษชี้ขาดเอาชนะ โคเวนทรี ได้สำเร็จในเกม เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศที่สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 เม.ย.ผ่านเข้าไปเจอกับโจทก์เก่า แมนฯ ซิตี้ ในฐานะแชมป์เก่าวันที่ 25 พ.ค.นี้
อย่างไรก็ดี ก่อนจะเป็นฝ่ายมีชัย แมนยู ของ เอริค เทน ฮาก หวิดม้วยในช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยซ้ำหลังนำห่างก่อน 3-0 แต่ปิดจ็อบไม่ได้ และโดนทวงคืนสามเม็ดอย่างไม่น่าเชื่อจนเกมต้องลุ้นกันต่ออีกครึ่งชั่วโมง กระทั่งลามมาถึงการดวลลูกโทษตัดสินซึ่ง ผีแดง ยิงพลาดก่อนด้วยซ้ำ แต่ทีมจาก แชมเปี้ยนชิพ ฉวยความได้เปรียบเอาไว้ไม่ได้ และเป็นฝ่ายพลิกกระเด็นตกรอบอย่างน่าเสียดาย
1. ช้างมีแข้งติดแบนปรับทีมสองจุด
โคเวนทรี ทีมอันดับแปดของ แชมเปี้ยนชิพ เปลี่ยนโผ 11 ตัวจริงสองรายจากเกมลีกนัดบุกไปแพ้ เบอร์มิ่งแฮม ขาดลอย 3-0
มาร์ค โรบินส์ กุนซือทีม ช้างกระทืบโรง อดีตกองหน้า แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกใช้งาน คัลลั่ม โอ'แฮร์ แทน เคซีย์ พาลเมอร์ ในแดนกลางโดยดาวเตะ จาเมก้า ติดโทษแบนด้วยจากการได้ใบเหลืองในรอบก่อนหน้านี้แมตช์บุกไปพลิกนรกยิงสองเม็ดในช่วงทดเวลาแซงชนะ วูล์ฟส์ 3-2
ส่วนอีกราย จอช เอ็คเคิ่ลส์ ได้เสียบแทน วิคเตอร์ ทอร์ป ในแนวรับ
2. ผีส่ง กาเซมีโร่ คุมหลัง
แมนฯ ยูไนเต็ด ประสบกับปัญหาขาดนักเตะที่บาดเจ็บก่อนเกมเพิ่มอีกสามรายโดย เมสัน เมาท์ , วิลลี่ กัมบวาล่า และ โซฟียาน อัมราบัต ลงเล่นไม่ได้ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเกมนี้
อย่างไรก็ดี เอริค เทน ฮาก ยังจัดทัพลงเล่นได้อย่างไม่เป็นปัญหามากนัก และโรเตชั่นนักเตะตัวจริงแค่ตำแหน่งเดียวจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปไล่ตีเสมอ บอร์นมัธ 2-2
จากการบาดเจ็บของเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเฟร้นช์แมน ทำให้นายใหญ่ดัตช์ส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กองกลางทีมชาติ สกอตแลนด์ เสียบแทน แต่โยก กาเซมีโร่ มิดฟิลด์ทีมชาติ บราซิล ไปเล่นเป็นกองหลังร่วมกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์
ขณะเดียวกัน ผีแดง ซึ่งขาดนักเตะที่เดี้ยงไปร่วมสิบรายต้องใส่ชื่อดาวรุ่งอยู่ในซุ้มม้านั่งทั้ง แฮร์รี่ อามาสส์ (17 ปี) , ฮาบีบ โอกุนเนเย่ (18ปี), อีธาน วีทลีย์ (18ปี) และ หลุยส์ แจ็คสัน เซ็นเตอร์ฮาล์ฟสกอตต์ (18 ปี)
3. แม็คโท เหนือ แรชฟอร์ด
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่พลาดเป็นฝ่ายนำหน้า โคเวนทรี ทีมรองบ่อนโดยอาศัยเวลา 23 นาทีก็สอยตาข่ายฝ่ายตรงข้ามได้สำเร็จจากการเข้าฮอสของ แม็คโทมิเนย์
จากประตูดังกล่าวทำให้ดาวเตะเลือดวิสกี้สอยตาข่ายได้ 10 ประตูแล้ว และเป็นซีซั่นแรกในอาชีพพ่อค้าแข้งที่เขาคลำเป้าได้ด้วยเลขสองหลัก
ขณะเดียวกัน กองกลางตาร์ตันรั้งอันดับสามของดาวซัลโวทีม ผีแดง ในซีซั่นนี้ด้วยตามหลัง ราสมุส ฮอยลุนด์ (13ประตู) และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส (12 ประตู)
แต่หากไม่นับรวมลูกโทษ แม็คโทมิเนย์ ยิงประตูเป็นรองแค่ ฮอยลุนด์ รายเดียวเท่านั้นจากผลงาน 13:10 ประตู
ขณะเดียวกัน แม็คโทมิเนย์ ถือเป็นสตาร์ชาวสกอตต์รายแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คลำเป้าใน เวมบลีย์ ได้ต่อจาก ไบรอัน แม็คแคลร์ ในเกมบู๊กับ เชลซี เดือนพ.ค.1994
เท่านั้นไม่พอ เข้าสู่ช่วงทดเวลา ผีแดง ก้าวเท้าเข้าไปชิงชนะเลิศได้หนึ่งก้าวแล้วเมื่อ แม็กไกวร์ โขกลูกเตะมุมตุงตาข่ายพาทีมนำสบาย 2-0 ในช่วง 45 นาทีแรกซึ่งสถิติเผยว่าทีมจาก พรีเมียร์ลีก เหนือกว่าบานตะไททั้งการครองบอล 65:35% และได้ยิง 11 ครั้งเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ โคเวนทรี ได้ยิง 1 ครั้งไม่เข้ากรอบ
สำหรับ แม็กไกวร์ เขากลับมาสอยตาข่ายที่ เวมบลีย์ ได้อีกหนต่อจากเกมที่ อังกฤษ บู๊กับ แอลเบเนีย ในเดือนพ.ย.2021 แต่เป็นเม็ดแรกของเขาในสนามแห่งนี้ภายใต้สีเสื้อ เร้ด เดวิลส์
ด้าน แฟร์นันด์ส ซึ่งเปิดลูกเตะมุมให้ แม็กไกวร์ โขกไม่เหลือสร้างผลงานเป็นนักเตะคนเดียวที่ยิงเกิน 10 เม็ด และแอสซิสต์เกิน 10 เม็ดในทุกรายการตลอดสี่ปีหลังที่ค้าแข้งใน พรีเมียร์ลีก
ถึงขณะนี้ สตาร์ทีมชาติ โปรตุเกส สร้างโอกาสได้มากถึง 128 ครั้งสำหรับทุกรายการในซีซั่นนี้มากกว่านักเตะทุกรายในห้าลีกใหญ่ของยุโรป
4. ปิดจ็อบไม่ได้
หลังนำห่าง 2-0 ในครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ด หันมาเล่นเกมรับในครึ่งหลังหวังรักษาสกอร์เป็นหลักแล้วหาโอกาสโต้ตามสไตล์ของ เทน ฮาก ซึ่งทำให้ ช้างกระทืบโรง ได้เดินหน้าเต็มตัวต่างไปจากครึ่งแรกลิบลับ
อย่างไรก็ดี ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของ แฟร์นันด์ส ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด นำห่าง 3-0 ในนาทีที่ 59 จากจังหวะซัดมุมแคบของดาวเตะเลือดฝอยทองซึ่งทั้งยิงและแอสซิสต์ในเกมเดียวกันของทุกรายการให้ ผีแดง เป็นเกมที่ 17 แล้วนับตั้งแต่ได้ประเดิมสนามเมื่อเดือนก.พ.2020 โดยมี โม ซาลาห์ เป็นนักเตะใน พรีเมียร์ลีก รายเดียวที่มีผลงานเหนือกว่า (20 นัด)
แต่อย่างที่บอกว่าหลังจาก เทน ฮาก ตัดสินใจให้ทีมเน้นเกมรับแบบเต็มตัวช่วงครึ่งหลัง สุดท้ายทีมจาก แชมเปี้ยนชิพ ก็ตีไข่แตกจนได้จากประตูของ เอลลิส ซิมม์ส ในนาทีที่ 71 และปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหายนะของทีมจาก โรงละครแห่งความฝัน เมื่อพวกเขาเสียเพิ่มอีกสองประตูก่อนหมดช่วงทดเวลาบาดเจ็บจนทำให้เกมต้องลุ้นกันต่ออีกครึ่งชั่วโมงจากผลเสมอ 3-3
หลังจบ 90 นาที สถิติฟ้องว่าแทคติกของ เทน ฮาก เปิดทางสะดวกให้ทีมรองบ่อนทวงคืนสามประตูเนื่องจากพวกเขาลดการครองบอลที่เหนือกว่าได้น้อยลงเหลือ 58:42% และได้ยิงมากกว่าแค่ 17-13 ครั้งโดยทั้งสองทีมส่งบอลเข้ากรอบได้ 4 ครั้งเท่ากัน
5. เทน ฮาก อยู่ยาก
ท่ามกลางสายตา เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เข้ามาดูเกมใน เวมบลีย์ บอกได้เลยว่ามหาเศรษฐีอิงลิชซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของสโมสรไม่ปลื้มผลงานของทีมอย่างแน่นอนที่นำห่าง 3-0 แต่เอาชนะ โคเวนทรี ในเวลา 90 นาทีไม่ได้ แถมจากที่มีฟอร์มเหนือกว่าหลายกระบุงในครึ่งแรก เทน ฮาก ทำให้ทีมเล่นได้แย่ลงในครึ่งหลัง อีกทั้งเท่าที่ผ่านมาในหลายเกม กุนซือดัตช์แสดงให้เห็นว่าแก้เกมหรือเปลี่ยนตัวสำรองไม่เป็นสับปะรดสักเท่าไหร่
รวมแล้วจึงพอจะบอกได้ว่ามันเป็นเกมที่อัปยศนัดหนึ่งของอดีตกุนซือทีม อาแจ็กซ์ กับถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพราะแทนที่เขาจะกำราบ ช้างกระทืบโรง ได้อย่างง่ายดาย เทน ฮาก กลับเปิดโอกาสให้พวกเขากลายสภาพเป็นช้างตกมันที่เกือบแซงชนะ ผีแดง ในช่วงทดเวลาได้ด้วยซ้ำ
และที่สำคัญ ในช่วงต่อเวลา โคเวนทรี มีโอกาสได้เม็ดสี่แบบเห็นๆสองสามหนด้วย แต่เข่นหลุดกรอบไปเอง แถมมีคานช่วยเซฟทีมยักษ์ใหญ่เช่นกันเนื่องจากแผงหลัง ผีแดง เปิดพื้นที่ให้โดนเล่นงานด้วยเกมโต้กลับหลายหน
ผ่านมาถึงตอนนี้ มันชัดเจนว่าแนวทางการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไร้อนาคต จนในที่สุดนาทีที่ 120+1 ชะตาของ เทน ฮาก เกือบขาดผึงเมื่อ โคเวนทรี ยิงเม็ดสี่ได้ ดีที่ว่าเป็นลูกล้ำหน้า และต้องอาศัยการดวลลูกโทษชี้ขาดหลังเกมจบลงด้วยผลเสมอ 3-3 ในเวลา 120 นาทีซึ่งปรากฏว่าผู้จัดการทีมดัตช์ยังดวงแข็งมากพอที่ทีมพลิกจากที่ตกเป็นรองตั้งแต่แรกชนะการดวลลูกโทษผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ แมนฯ ซิตี้ ได้อีกปี แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโอกาสได้คุมทีมในซีซั่นหน้าของ เทน ฮาก แทบเป็นไปไม่ได้เลย ยกเว้นก็แต่ว่าเขาจะสร้างชื่อล้างแค้น เรือใบสีฟ้า ได้สำเร็จ