เอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเอาเหล่าแฟนบอลประหลาดใจไปกับแผนการแก้เกมแดงเดือดฉบับเอฟเอ คัพ เมื่อใช้โควตาเปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้ายส่ง เมสัน เมาน์ท ลงสนามแทนที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ขณะตามหลัง 2-3 ในนาทีที่ 105
การเปลี่ยนตัวดังกล่าวส่งผลให้ทีม "ปีศาจแดง" มีกองกลางยัดทะนานถึง 4 คนได้แก่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, คริสเตียน เอริคเซ่น และ เมาน์ท ที่เพิ่งลงมา บวกกับอีก 4 ตัวรุกทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, อเลฮานโดร การ์นาโช่, อันโตนี่, อาหมัด ดิยัลโล่ จึงเท่ากับว่าเหลือกองหลังอาชีพเพียง 2 รายคือ ดีโอโก้ ดาโลต์ และ แฮร์รี่ แม็กไกวร์
ตามตำแหน่งการเล่นแน่นอนว่า ดาโลต์ ประจำการแบ็กขวาตลอดทั้งแมตช์ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่สำหรับ แม็กไกวร์ นั้นไม่เชิงว่ายืนพื้นที่เซนเตอร์แบ็กเสียทีเดียว เพราะเอาเข้าจริงแล้วยืนค้ำอยู่ข้างหน้า กลับมาปักหลักเฉพาะเวลาป้องกันลูกตั้งเตะ
กลายเป็นว่า บรูโน่ กับ เอริคเซ่น ต่างหากที่ยืนต่ำคล้ายๆ บทบาท "ดับเบิล ควอร์เตอร์แบ็ก" คอยเก็บบอลวางยาวจากแนวลึกขึ้นข้างหน้า ขณะที่ อันโตนี่ ซึ่งทุกคนคุ้นเคยในฐานะปีกขวาลากตัดเข้าใน กลับถอยลงเล่นแบ็กซ้ายแก้ขัดแทนที่ แอรอน วาน-บิสซาก้า ผู้ถูกถอดออกล็อตแรกๆ ในนาทีที่ 71
ขยับขึ้นแดนกลางมี เมาน์ท จับคู่ แม็คโทมิเนย์ แต่ดูเหมือนรายแรกแทบหาบอลไม่เจอเลยด้วยตำแหน่งยืนต่ำกว่าดาวเตะสกอตติช ไหนจะด้วยรูปแบบการเล่นเน้นไดเร็กต์วางยาวเล่นเร็วมากกว่าต่อบอลสั้นนั่นเอง ส่วนด้านข้างมี อาหมัด ประจำกราบขวา อีกฟากเป็น การ์นาโช่ โดยมี แม็กไกวร์ ค้ำข้างหน้าคู่กับ แรชฟอร์ด
ที่สุดแล้วแท็กติกสุดระห่ำจากมันสมองนายใหญ่ชาวดัตช์ก็ผลิตผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ใช้การเล่นสวนกลับเร็วบวกความผิดพลาดส่วนบุคคลของฝั่ง "หงส์แดง" จนรัวแซง 2 เม็ดรวดจาก แรชฟอร์ด นาที 112 และ อาหมัด นาที 120+1 พลิกนรกเข้ารอบรองชนะเลิศรอดวล โคเวนทรี ซิตี้ จากลีกแชมเปี้ยนชิพต่อไป