แมนยู พบ ลิเวอร์พูล : มันคือศึกแดงเดือดที่หลายคนอยากเห็น

แมนยู พบ ลิเวอร์พูล : มันคือศึกแดงเดือดที่หลายคนอยากเห็น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอ ลิเวอร์พูล มันต้องสู้กันอย่างนี้ ไม่กลัวกันแบบนี้ ใส่กันทีต่อทีอย่างนี้ถึงจะเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรี คับคั่งไปด้วยความเมามัน ใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ มันต้องอย่างนี้..

แดงเดือดที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันอาทิตย์เป็นศึกแดงเดือดที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่ผมเคยสัมผัสมา มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เอ็งทีข้าที มีครบทุกรสชาติ

ไม่ใช่เกมที่ทั้งสองทีมสมบูรณ์แบบที่สุดหรอก มีความผิดพลาดมากมายด้วยซ้ำ แต่ในรายละเอียดของเกมทำให้มันสนุกมากเพราะความไม่สมบูรณ์แบบนั่นแหละ

เพราะความไม่สมบูรณ์แบบของทั้งสองทีม เราจึงไม่สามารถคาดเดาผลการแข่งขันได้เลย คุณพลาด ผมลงโทษ ผมพลาด คุณลงโทษ คุณพลาด ผมทำคุณไม่ได้ พอผมพลาด คุณก็ทำผมไม่ได้เหมือนกัน

แต่ที่แน่ๆ คือหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ แข้งขาล้าก็พยายามวิ่ง เหนื่อยกายเต็มทีก็ยังพร้อมพุ่งเข้าปะทะ

มันเป็นเกมที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีโอกาสฝังฝั่งตรงข้ามแต่กลับปล่อยให้หลุดลอยไป แมนฯ ยูไนเต็ดในครึ่งแรก ลิเวอร์พูลในครึ่งหลัง และสวิงกลับมาที่ยูไนเต็ดอีกครั้งในวินาทีสุดท้ายของเวลาปกติ

ถ้า สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยิงลูกนั้นเข้าไปไม่ถูก ควีวิน เคลเลเฮอร์ ปัด สกอร์ก็จะหนีเป็น 2-0

ถ้า ดาร์วิน นูนเญซ ตะบันลูกนั้นเข้าไปไม่ถูก อังเดร โอนาน่า ทุบทิ้ง สกอร์ก็จะหนีเป็น 3-1

ถ้าจังหวะโต้หลุดไป 5 คนรุมนักเตะยูไนเต็ด 2 คนลูกนั้นไปจบที่ประตูอย่างที่ควรจะเป็น สกอร์ก็จะหนีเป็น 3-1

ถ้า มาร์คัส แรชฟอร์ด ไม่พลาดโอกาสทองที่ได้ดวลเดี่ยวกับเคลเลเฮอร์ลูกนั้น สกอร์ก็จะแซงนำ 3-2 และชนะในเวลาปกติไปแล้ว

ถ้า.. ถ้า.. ถ้า..

ทั้ง 2 ฝ่ายมีโอกาสฉีกหนีคู่แข่งจาก 1 ประตูเป็น 2 ประตูมากมายในระหว่างเกม ทั้งยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายความเด็ดขาดก็มาหายไปเอาในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากเสียงเชียร์อึงคะนึงในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

เราสามารถเสียดายโอกาสทองของเราได้ เขาก็สามารถเสียดายโอกาสงามของเขาได้เช่นกัน นี่คือเกมที่ใกล้เคียงกับคำว่าปุถุชนธรรมดาที่สุด เหมือนภาพสะท้อนของชีวิต เราต่างก็เคยทำผิดพลาดมาด้วยกันทั้งนั้น

ในภาพรวมแล้วแม้จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหว่างทาง ทั้งการตั้งรับและเกมเข้าทำ แต่ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ก็เล่นฟุตบอลที่สร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างสร้างโอกาสขึ้นมาเองเช่นกันไม่น้อยด้วย

รูปแบบการเล่นของลิเวอร์พูลนั้นชัดเจนอยู่แล้ว แต่กับ ยูไนเต็ด น่าสนใจว่า เอริก เทน ฮาก วางแผนการเล่นแบบไหน

ที่ถูกค่อนขอดดูแคลนมาตลอดตั้งแต่ก่อนเกมว่าวันไปเยือนแอนฟิลด์เมื่อเดือนธันวาคมเล่นตั้งรับอยู่หน้าเขตโทษตลอดแมตช์นั้นไม่เกิดขึ้นแน่ ๆ ในเกมนี้เพราะพวกเขาเล่นในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง

แล้ว เทน ฮาก ก็วางผู้เล่นในระบบ 4-2-3-1 เลย หยอดตัวรุกลงไป 4 คนด้วยความที่ ราสมุส ฮอยลุนด์ ฟิตกลับมาลงสนามอีกครั้งหลังหายไป 4 เกม มี บรูโน่ แฟร์นันด์ส มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ อยู่ด้านหลัง

กองกลางใช้ ค็อบบี้ ไมนู กับ แม็คโทมิเนย์ ยืนคู่กัน ผิดไปจากการเล่นกับคู่ปรับที่เหนือกว่าอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงหลังที่เขามักจะเลือกใช้กองกลางตัวรับ 3 คน มี กาเซมิโร่ กับ โซฟียาน อัมราบัต คนใดคนหนึ่งเสียบเข้ามาเพิ่ม

บางทีอาจเป็นเพราะกาเซมิโร่เจ็บและผลงานไม่ค่อยดีนักของอัมราบัตก็ได้ที่เมื่อประจวบเหมาะกับการกลับมาของฮอยลุนด์ทำให้ เทน ฮาก เลือกใช้กองกลางแค่ 2 คน

แต่มันคงไม่ใช่เหตุผลเพียงเท่านั้นแน่ถ้าเขาไม่ได้เตรียมการมาเป็นอย่างดี

แมนฯ ยูไนเต็ด มีเวลาเตรียมตัวสำหรับเกมนี้ 8 วันเต็มๆ นับจากเกมล่าสุดที่เอาชนะเอฟเวอร์ตันเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เราจึงได้เห็นความละเอียดในการเล่นของนักเตะปีศาจแดงที่ประสานงานกันได้ดีในระหว่างเกม

แอรอน วาน บิสซาก้า ที่ฟิตกลับมาช่วยทีมได้อีกคนถูกจับโยกไปเล่นแบ๊กซ้ายเพื่อใช้เกมรับอันขึ้นชื่อของตัวเองรับมือตัวอันตรายที่สุดของลิเวอร์พูลอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์

เทน ฮาก เลือกใช้การเล่นในแดนเป็นหลัก บอลผ่านครึ่งสนามมาจะเข้าถึงบอลทันทีไม่ให้นักเตะหงส์แดงเล่นง่าย และดักตัดบอลเพื่อเล่นเกมโต้กลับ

ขึ้นไปเพรสซิ่งกดดันแดนบนแค่ในบางจังหวะ ส่วนถอยไปตั้งรับแน่นหน้าเขตโทษตัวเองอย่างเกมที่ไปเยือนแอนฟิลด์เมื่อเดือนธันวาคมลืมไปได้เลยเพราะเกมนี้เล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง

เป้าหมายของยูไนเต็ดชัดเจน นั่นคือพื้นที่หลังแบ๊กของลิเวอร์พูล หรือเจาะในพื้นที่ตรงนั้นโดยเฉพาะฝั่งขวา

วิธีการเล่นของลิเวอร์พูลอาศัยฟูลแบ๊กเติมเกม ถ้า โจ โกเมซ ลงสนามไม่ว่าจะเป็นแบ๊กขวาหรือซ้ายจะหุบเข้ากลางไปเล่นอินเวิร์ตฟูลแบ๊กยามตั้งเกมบุก คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์เองก็เช่นกัน ถ้ายูไนเต็ดแย่งบอลมาได้หรือมีโอกาสต่อบอลเข้าทำจะโจมตีพื้นที่ตรงนั้นเป็นหลัก

เจ้าบ้านทำได้ดีมากกับพื้นที่หลังแนวรับตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นการโต้กลับหรือการประสานงานแบบกลุ่มเล็กๆ 2 คน 3 คน 4 คน

แรชฟอร์ด กับ การ์นาโช่ มีชีวิตชีวามาก มีส่วนร่วมกับเกมตลอด ฮอยลุนด์ได้บอลไม่มากนักแต่ความขยันของเขาช่วยเปิดทางให้เพื่อนได้

วาน บิสซาก้า กับ ดีโอโก้ ดาโลต์ แบ๊กซ้าย-ขวามีสมาธิกับเกมรับไม่บกพร่องและหาจังหวะเหมาะหนุนขึ้นไปเสริมในเกมรุก

เป็นครึ่งแรกที่ดูดีเลยสำหรับยูไนเต็ด ทัศนคติและภาษากายยอดเยี่ยม กระฉับกระเฉงสมกับที่มีเวลาเตรียมตัวถึง 8 วันสำหรับเกมนี้

ลิเวอร์พูลมีเวลาเตรียมตัวน้อยกว่าเพราะเพิ่งจะลงเตะ ยูโรปา ลีก ไปเมื่อวันพฤหัสฯ เยอร์เก้น คล็อปป์ กับทีมงานอาจจะมีข้อมูลสำหรับเกมนี้เตรียมไว้บ้างบางส่วน แต่ปัจจัยส่วนนี้ถือว่าเป็นรองเจ้าบ้านที่โฟกัสตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาชัดเจนกว่า

กระนั้นลิเวอร์พูลก็ยังเป็นลิเวอร์พูล ขับเคลื่อนด้วยระบบ นักเตะทั้งเข้าใจเกมและเข้าใจกัน ไม่เพียงเท่านั้นขุมกำลังยังดูดีขึ้นเมื่อนักเตะที่เจ็บไปบางคนเริ่มทยอยกันกลับมาช่วยทีม

แต่ลิเวอร์พูลในเกมนี้พลาดโอกาสสำคัญที่คู่แข่งเปิดให้มากเกินไป พอจะพูดได้ว่าเป็นวันที่เกมรุกหลุดฟอร์มแม้จะยิงได้ถึง 3 ประตู

ความเด็ดขาดคือสิ่งที่ขาดหาย ประตูสำคัญระดับฆ่าคู่แข่งที่ทำได้อยู่บ่อย ๆ ไม่เกิดขึ้น ขณะที่การเปลี่ยนตัวของคล็อปป์ที่ฤดูกาลนี้ทำได้ฉมังเหลือเกินกลับไม่เป็นผล

การเปลี่ยน ซาลาห์ ออกในนาทีที่ 76 ยังคงเป็นที่พูดถึงในหมู่นักวิจารณ์และแฟนบอล บรรยากาศข่มขู่คุกคามที่อบอวลอยู่ในพื้นที่แดนสามนั้นสัมผัสได้แม้ในยามที่ดาวเตะอียิปต์ไม่มีบอล ความรู้สึกนั้นหายไปเลยเมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวออกไป

โกดี้ คักโป ยังอยู่ในช่วงฟอร์มตก ความมั่นใจหดหาย อันที่จริงแล้วสองประตูที่ยิงในเกมยูโรปา ลีก เมื่อคืนวันพฤหัสฯ น่าจะช่วยดาวเตะดัตช์ได้บ้างแต่สุดท้ายก็ยังไม่ใช่ กลายเป็นเกมนี้ยิ่งหนักกว่าเดิม

จากนักเตะที่คิดเร็ว ทำเร็ว ความไม่มั่นใจทำให้ คักโป เชื่องช้าเกินไป การตัดสินใจเปลี่ยนเขาลงมาแทนซาลาห์สุดท้ายได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นอย่างที่คิด และเขาคงต้องพยายามเต็มที่ในการเรียกผลงานเก่าๆ กลับมาให้ได้ต่อไป

ทุกการเปลี่ยนตัวของโค้ช ผมจะพยายามทำความเข้าใจว่าเป็นไปด้วยเหตุผลใดมากกว่าจะเอาผลสุดท้ายมาด่าว่าผิดหรือถูก การลงสนามของ แบร๊ดลี่ย์ แทน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เพื่อเพิ่มความสดชื่นในช่วงสิบห้านาทีสุดท้าย การลงเล่นของ คักโป ในนาทีเดียวกันก็น่าจะด้วยเหตุผลเดียวกัน

เพียงแต่เมื่อคนถูกเปลี่ยนออกเป็นซาลาห์ จึงน่าจะมาถกกันต่อถึงเหตุผล


ในทีแรกผมคิดว่าเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่การให้สัมภาษณ์หลังจบเกมของคล็อปป์ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาพูดถึงการรู้สึกเจ็บไม่ค่อยสบายตัวของ คักโป ดาร์วิน และ ดิอาซ เหตุผลเรื่องเปลี่ยนซาลาห์เพราะเจ็บจึงน่าจะถูกยกทิ้งไป

บางความคิดเห็นบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงถือศีลอดของชาวมุสลิม ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุผลเรื่องนี้จริง ๆ ไหมเพราะเกมเมื่อกลางสัปดาห์กับสปาร์ต้า ปราก ซาลาห์ก็เล่นได้เต็มเวลา 90 นาทีซึ่งถูกวิจารณ์เช่นกันว่าเพราะอะไรถึงใช้งานเขาเต็มเกมขนาดนั้นทั้งที่ทีมเข้ารอบค่อนข้างแน่แล้ว

อันที่จริงการลงเล่นเกมนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ มันอยู่ในแผนเรียกจังหวะร่างกายให้กลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ซาลาห์เจ็บไป 3 สัปดาห์เพิ่งจะกลับมาลงสนามในช่วง 15 นาทีสุดท้ายเกมเยือนสปาร์ต้า ปราก หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า ต่อด้วยการถูกเปลี่ยนลงสนามไปเล่นอีกครึ่งชั่วโมงในเกมเสมอ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อสุดสัปดาห์

ฉะนั้นเกมรับมือ สปาร์ต้า ปราก การได้เล่นเป็นตัวจริงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่ผิดแผนคือโควต้าเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายในช่วง 15 นาทีสุดท้ายที่ต้องเป็นเขานั้นถูก บ๊อบบี้ คล้าร์ก เอาไปเพราะกองกลางดาวรุ่งเจ็บระหว่างเกมพอดี

แต่การเล่นของซาลาห์ในวันนั้นแค่ประคองตัว ระมัดระวัง ไม่เสี่ยง ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากต่อความฟิตสำหรับเกมนี้

การเปลี่ยนตัวเขาออกเพื่อส่งคักโปลงไปแทนจึงน่าจะเป็นเรื่องแท็คติกในเกมล้วน ๆ ของคล็อปป์ เวลานั้นทีมนำอยู่ 2-1 และยังควบคุมสถานการณ์ได้ดี เขาอาจต้องการให้ คักโป ที่สดกว่า แข้งขายังเปี่ยมพลังกว่าลงมาช่วยเพื่อนในแดนกลาง และออกบอลฉลาด ๆ ในจังหวะที่เหมาะสม

คอยเก็บบอล พักบอล เพื่อให้ทีมไม่เสียการครองบอล เปรียบเทียบกับสไตล์ของซาลาห์ที่หวือหวากว่า ได้เสียกว่า แต่ก็เสี่ยงจะเสียบอลจากการลากเลื้อยหรือจังหวะเข้าทำที่อาจทำให้ยูไนเต็ดมีโอกาสตอบโต้ได้เช่นกัน

ผมเดาความคิดของคล็อปป์ว่าอาจจะเป็นอย่างนั้น อาจจะถูกหรือไม่ถูกก็ได้ คักโปเพิ่งจะทำ 2 ประตูมาในเกมล่าสุดและเราไม่เห็นว่าในการซ้อมเมื่อวันศุกร์กับเสาร์นั้นเขาเป็นอย่างไร ที่แน่ ๆ การถูกส่งลงสนามแทนซาลาห์ในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกมแสดงให้เห็นว่าคล็อปป์ยังคงไว้ใจเขา

เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือคักโปยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้านายได้ มันจึงกลายเป็นการเปลี่ยนตัวที่ไม่เป็นผลแทน

น่าเสียดายที่หลังการเปลี่ยนตัวนี้แค่ 3 นาที ลิเวอร์พูลมีโอกาสโต้กลับด้วยสถานการณ์ 5 ต่อ 2 แต่ คักโป เลือกให้บอลกับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่อยู่ทางขวาด้วยน้ำหนักบอลเลยไปทางเท้าขวาไม่ใช่เท้าซ้ายข้างถนัด เอลเลียตต์จึงต้องใช้จังหวะมากขึ้นโดยไม่จำเป็นและกลายเป็นเสียโอกาสไปในที่สุด

โอกาสทองครั้งนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นประตูได้แบบที่ควรจะเป็นมันก็อาจเป็นการเปลี่ยนตัวที่ถูกต้องของคล็อปป์ก็ได้ เพราะคักโปพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ถูกต้องแล้วคือเป็นคนรับบอลมาเริ่มต้นการเล่นนั้น เขาน่าจะได้แอสซิสต์หรืออย่างน้อยก็มีส่วนสร้างสรรค์ประตูที่ทำให้ทีมหนีเป็น 3-1 และปิดจ๊อบ

ผมยังคงให้กำลังใจเขาต่อไป ตราบใดที่เขายังได้รับความไว้วางใจจากคล็อปป์ผมก็ยินดีที่จะรอและไม่ลืมวันที่เขาเคยเล่นได้ดี เกมถล่มยูไนเต็ด 7-0 เมื่อปีที่แล้วเขายังเล่นได้ยอดเยี่ยมยิง 2 ประตูอยู่เลยเพียงแต่แค่ในวันนี้ฟอร์มตก

ยังรอวันที่เขากลับมาดีอย่างเดิมหรือดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ท้ายที่สุดแล้วมันก็พอจะพูดได้ว่าเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลต่ำกว่ามาตรฐานในแง่ความเด็ดขาด โดยเฉพาะครึ่งหลังที่ควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดและมีโอกาสยิงเพิ่มแต่ทำยูไนเต็ดที่ซึม ๆ ไปตลอดครึ่งหลังไม่ได้ จนสุดท้ายเปิดโอกาสให้ อันโตนี่ ม้วนตัวยิงตีเสมอ 2-2 ก่อนหมดเวลาแค่สี่นาที

ปิดเกมไม่ได้อย่างที่เคยทำได้..

มันยังตามมาด้วยความผิดพลาดของทั้งตัวบุคคลและทีม ยูไนเต็ดอุตส่าห์พลาดเปิดโอกาสให้ลิเวอร์พูลอีกหนกับประตู 3-2 ของเอลเลียตต์ในนาทีสุดท้ายช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรกแท้ ๆ แต่หงส์แดงก็ยังปิดเกมไม่ได้อีกครั้งกับ 15 นาทีที่เหลืออยู่

สิบห้านาทีสุดท้ายที่ยูไนเต็ดแลกหมัดเต็มที่เปลี่ยนตัวรุกลงมาแทนตัวรับเต็มไปหมด มีพื้นที่ให้เล่นงานหลายครั้งแต่กลายเป็นลิเวอร์พูลเปิดคางให้คู่ปรับเองด้วยความผิดพลาดของ ดาร์วิน นูนเญซ กับกำลังขาที่อ่อนล้าและความเสียดายบอลฝืนจ่ายบอลเสี่ยงจนเสียบอลแล้วไปจบที่ประตู 3-3 ของแรชฟอร์ด

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นบทเรียนสำคัญที่ได้จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทั้งสิ้น รวมถึงประตูที่ 4 จากลูกเตะมุมที่เป็นของตัวเองแท้ ๆ ด้วย

การมีนักเตะหงส์แดง 3 คนรอเก็บตกบอลอยู่นอกเขตโทษและให้ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ที่มีความเร็วห้อยท้ายอยู่เส้นกลางสนามไม่ถึงกับเป็นความประมาทอะไรด้วยผู้เล่นยูไนเต็ดทุกคนก็ลงไปป้องกันลูกเตะมุมในเขตโทษตัวเอง

ยิ่งเป็นจังหวะสุดท้ายของเกม ลิเวอร์พูลเล่นกับเวลาได้ดีจนได้เตะมุมลูกนั้นในนาทีสุดท้าย เตะเปิดมาจะได้ยิงหรือไม่ได้ยิงก็มีโอกาสสูงที่เสียงนกหวีดหมดเวลาจะดังขึ้น

การมีผู้เล่นของตัวเอง 5 คนในเขตโทษ (รออยู่กลางสนาม 1 รออยู่นอกเขตโทษ 3 รับหน้าที่เปิดลูกเตะมุมอีก 1) เทียบกับนักเตะเอ๊าต์ฟิลด์ทั้ง 10 คนของยูไนเต็ดอยู่ในเขตโทษทั้งหมด ผมคิดว่าเป็นสัดส่วนที่สมดุลระหว่างการลุ้นทำประตูกับความปลอดภัยจากเกมโต้กลับ ในช่วงเวลาที่เหลือพอให้

เพียงแต่เมื่อบอลถูกโหม่งสกัดออกมาแล้ว ลิเวอร์พูลต้องเด็ดขาดกว่านี้ในการเล่นบอลจังหวะสอง จะเป็นการเก็บบอลเอามาบุกต่อ สกัดบอลป้องกันการสวนกลับ หรือเข้าปะทะเพื่อชิงความได้เปรียบล้วนขึ้นอยู่กับจังหวะเฉพาะหน้า แต่ที่สำคัญคือการอ่านสถานการณ์ ถ้าจำเป็นต้องเตะขาดได้ก็ต้องขาด เพลี่ยงพล้ำบอลพัวพันเท้าเล่นยากเพื่อนก็ต้องตามซ้อนให้ทันหรือกล้าตัดฟาวล์ไปเลย

ในท้ายที่สุดแล้ว ผมแค่เสียดายเล็กน้อยที่ตกรอบเอฟเอ คัพ ไม่มีโอกาสได้เห็นทีมลุ้นแชมป์ 4 รายการ แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงไม่นาน เพราะความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้เห็นเกมแดงเดือดที่ถวิลหายังคงเต็มอก

ดีใจกับเกมเข้มข้นที่ทั้ง 2 ทีมช่วยกันรังสรรค์ออกมา เรื่องดีนำไปต่อยอด เรื่องบกพร่องหยิบไปปรับปรุงแก้ไข

อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ มันไม่ใช่เกมที่ทั้ง 2 ทีมเล่นได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเลย ตรงกันข้ามมันเป็นเกมของทีมปุถุชนธรรมดาๆ นี่แหละที่มีดี มีแย่ มีสมหวัง มีน่าหงุดหงิด แต่เราได้เห็นการแสดงออกซึ่งทัศนคติที่ดีเยี่ยมในเกมแห่งศักดิ์ศรี

สมกับที่เป็นเกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล แมตช์ที่แฟนบอลทั่วโลกเฝ้าดู

แดงเดือดทั้งทีจะมาเล่นแบบติ๋ม ๆ ได้ยังไง เกมนี้ ยูไนเต็ด เป็นผู้ชนะ หยุดเส้นทางของคู่ปรับตลอดกาลอย่างเจ็บแสบ แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคงเป็นความรู้สึกภูมิใจของกองเชียร์ปีศาจแดง

การได้เห็นนักเตะของทีมวิ่งสู้ฟัด มุ่งมั่นพยายามไม่ยอมแพ้ ช่วยกันไล่ ช่วยกันป้องกัน สู้กับคู่ปรับตลอดกาลที่เก่งกาจได้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันอย่างนี้ช่างน่าภูมิใจ เลือดลมสูบฉีด

นักเตะปีศาจแดงทุกคนแสดงให้กองเชียร์ของพวกเขาเห็นว่ายังสามารถภูมิใจในตัวพวกเขาได้

ความรู้สึกภูมิใจนี้มันหาซื้อไม่ได้..

ยินดีกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้ชนะด้วยนะครับ ส่วนลิเวอร์พูล.. การตกรอบ เอฟเอ คัพ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรือต้องมาหดหู่ห่อเหี่ยวอะไรเลย

ทีมของคล็อปป์ยังมีภารกิจสำคัญอีก 2 รายการเหลืออยู่ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

แพ้คู่ปรับตลอดกาลในเกมแห่งความทรงจำที่ไม่ว่าใครเป็นผู้ชนะก็คู่ควร ชะตากรรมสามารถพลิกผันจากแพ้เป็นชนะได้เพียงพริบตาแบบนี้ไม่มีอะไรต้องเสียใจ.. เป็นความพ่ายแพ้ที่ล้ำค่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับการขัดเกลาที่ได้มา

พลาดเกมนี้ พักใจกับการเบรกทีมชาติ แล้วกลับมารวมพลังกันใหม่ในอีก 2 เดือนที่เหลือ

ทุกคนยังพร้อมจะสู้เพื่อส่งท้ายคล็อปป์ให้สวยงามที่สุด เส้นทางสู่ความรุ่งเรืองยังทอดรออยู่..

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport