ลิเวอร์พูล ยุติเส้นทางการลุ้น 4 แชมป์ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกไปแพ้ แมนยู 3-4 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในศึกเอฟเอ คัพ รอบแปดทีมสุดท้าย เมื่อวันอาทตย์ที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา โดยเกมนี้ทั้งสองทีมสู้กันได้อย่างสนุกเร้าใจ ผลัดกันรุกและรับ รวมทั้งสร้างโอกาสยิงประตูได้อย่างสุดยอด โดยจบ 90 นาทีเสมอกัน 2-2 ในช่วงทดเวลาพิเศษ "หงส์แดง" ได้ประตูนำ 3-2 แต่ "ปีศาจแดง" สามารถยิงคืนได้สองลูกรวดในครึ่งหลังของการต่อเวลาพิเศษ ชนะไปด้วยสกอร์ 4-3 ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ไปอย่างสุดมัน
ลิเวอร์พูล จัดแนวรุกเต็มสูบนำโดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ฟิตสมบูรณ์เต็มที่ และ ดาร์วิน นูนเญซ กับ หลุยส์ ดิอาซ ขณะที่แนวรับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จับคู่กับ จาร์เรลล์ ควอนซาห์ สำหรับ แมนยู ก็ได้ผู้เล่นสำคัญหายเจ็บกลับมาโดย แอรอน วาน-บิสซาก้า จะยืนคุมแบ็กขวา ส่วนแดนหน้า ราสมุส ฮอยลุนด์ ฟิตพร้อมลงกระซวกตาข่ายพอดี
เริ่มต้นเกมได้เกือบสองนาที แมนยู มีโอกาสทักทายก่อนจากจังหวะของ วาน-บิสซาก้า แต่ดันยิงไม่ดีทำให้บอลเบาเข้ามือ ควีวิน เคลเลเฮอร์ แบบสบายๆ จากนั้นในนาทีที่ 3 มาร์คัส แรชฟอร์ด ได้โอกาสยิงประตู แต่ เคลเลเฮอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟได้อย่างสุดยอด
แม้ว่าเจ้าบ้านจะเล่นได้ดีมากๆ แต่นาทีที่ 8 ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ โดมินิค โซโบซไล เปิดบอลข้ามฟากมาทางฝั่งซ้าย โม ซาลาห์ ซัดแบบไม่จับแต่บอลเฉียดเสาออกไปนิดเดียว อย่างไรก็ตามในนาทีที่ 10 แรชฟอร์ด จ่ายบอลให้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ แต่ซัดไปติดเซฟ เคลเลเฮอร์ แต่บอลไม่พ้นอันตราย สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ชาร์จระยะเผาขนให้ "ผีแดง" ขึ้นนำ 1-0
ทั้งสองทีมแลกกันอย่างสนุก และต่างฝ่ายต่างก็มีโอกาส โดยนาทีที่ 34 แรชฟอร์ด ไหลบอลถวายให้ แม็คโทมิเนย์ ซัดไปติดเซฟ เคลเลเฮอร์ แต่อีกนาทีถัดมา หลุยส์ ดิอาซ มีโอกาสกระชากลากเลื้อยไปจนถึงเขตโทษของ แมนฯ ยูฯ และซัดเต็มข้อแต่ติดเซฟของ อ็องเดร โอนาน่า
นาทีที่ 38 ลิเวอร์พูล ได้เฮ เมื่อ ซาลาห์ ผ่านบอลให้ วาตารุ เอ็นโด ซัดเข้าประตู แต่น่าเสียดายที่ "วีเออาร์" เช็คเป็นลูกล้ำหน้าทำให้ "หงส์แดง" ชวดประตูตีเสมอไป
เข้าสู่ช่วงสองนาทีสุดท้าย สาวก "เดอะ ค็อป" ได้เฮสนั่นเมื่อ ควอนซาห์ กระชากบอลเข้าไปในเขตโทษก่อนจะส่งให้ โซโบซไล ที่แปะคืน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จัดการกดเต็มข้อแฉลบ ค็อบบี้ ไมนู นิดนึงเข้าประตูไปอย่างงดงาม ลิเวอร์พูล เสมอ 1-1
ในช่วงทดเจ็บ 45+1โจ โกเมซ ไปแย่งบอลจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส ก่อนจะเปิดเข้าไปในเขตโทษ บอลทะลักมาที่ ดิอาซ ซึ่งผ่านให้ นูนเญซ จัดการซัดอย่างใจเย็นแต่ติดเซฟ โอนาน่า โชคดีที่บอลหล่นมาที่ ซาลาห์ ซึ่งจัดการซัดเข้าไปไม่เหลือซาก ส่งให้ทีมเยือนนำ 2-1 และจากนั้นก็จบครึ่งแรก
ครึ่งแรก แมนยู 1 ลิเวอร์พูล 2
เริ่มต้นเกมไปแค่สองนาที นูนเญซ มีโอกาสกระชากบอลหนี ราฟาแอล วาราน ก่อนจะหลอกยิงแต่ โอนาน่า ปัดออกหลังได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ แมนฯ ยูฯ มีจังหวะสวนสวยๆ หลายครั้ง แต่ยังขาดความแน่นอน
ผ่านมานาทีที่ 62 ลิเวอร์พูล ต่อบอลกันอย่างสวยงามก่อนจะจบที่ นูนเญซ ที่ซัดเต็มแรง แต่ โอนาน่า ยังเซฟเอาไว้ได้ หลังจากนั้น "หงส์แดง" ครองเกมได้เหนือกว่าเจ้าบ้าน และพยายามสร้างโอกาสทำประตูอย่างต่อเนื่อง แต่จังหวะจบสกอร์ยังไม่ค่อยดีนัก
แม้ว่า "เดอะ เร้ดส์" จะคุมเกมได้หมดก็ตาม แต่แล้วในช่วงนาทีที่ 87 การ์นาโช่ จับบอลแล้วล้นมาเข้าทาง อันโตนี่ ที่พลิกเร็วซัดบอลเข้ามุมอย่างสวยงาม ช่วยให้ แมนฯ ยูฯ ตีเสมอได้สำเร็จ 2-2 แต่อีกแค่นาทีเดียว ลิเวอร์พูล เกือบได้ประตูขึ้นนำจาก ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่เปิดบอลผิดเหลี่ยมแต่ชนเสา
ช่วงนาทีสุดท้ายของการต่อเวลา แมนยู สร้างโอกาสกดดันหลายครั้งหลายหน จนกระทั่ง แรชฟอร์ด ได้บอลหลุดเดี่ยวโล่ง แต่ดันยิงออกเสาไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ จบเกมเสมอกัน 2-2 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที
จบเกม แมนยู 2 ลิเวอร์พูล 2 (ต่อเวลาพิเศษ 30 นาที)
เริ่มนาทีแรกของการต่อเวลาพิเศษ อันโตนี่ ได้ลุ้นยิงประตูบริเวณกรอบเขตโทษ แต่ซัดเหินข้ามคานไปนิดเดียว จากนั้น ลิเวอร์พูล พยายามต่อเกม และมีลุ้นเป็นบางจังหวะแต่ก็ยังไม่แม่นยำ
นาทีที่ 100 แมนฯ ยูฯ มีลุ้นอีกครั้งจากจังหวะการยิงของ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ แต่บอลเข้าข้างตาข่าย แต่แล้วในนาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูล ได้ประตูนำ 3-2 จากจังหวะการยิงไกลของ เอลเลียตต์ แฉลบ คริสเตียน เอริคเซ่น บอลเข้าเสียบมุม จากนั้นกรรมการเป่านกหวีดหมดช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งแรก
เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง แมนยู กลับมาสู่เกมอีกครั้งจากการส่งบอลพลาดโดน แม็คโทมิเนย์ ตัดบอลได้ และส่งให้ แรชฟอร์ด จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายตีเสมอได้สำเร็จ 3-3
สาวก "เร้ด อาร์มี่" ได้ร้องลั่นสนั่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อ เอเลียตต์ พลาดทำให้โดนแย่งบอลก่อนที่ การ์นาโช่ จะกระชากหลุดเดี่ยวและส่งให้ อาหมัด ดิยัลโล่ จัดการซัดเข้าประตูส่งให้ "ผีแดง" นำ 4-3 แต่ดันดีใจเกิดเหตุด้วยการถอดเสื้อทำให้โดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดง อย่างไรก็ตาม แมนฯ ยูฯ สามารถรักษาสกอร์ได้สำเร็จ และทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศได้อย่างสุดยอด
รายชื่อนักเตะ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อ็องเดร โอนาน่า, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ (เมสัน เมาท์ น. 105), ราฟาแอล วาราน (อาหมัด ดิยัลโล่ น. 85), ดีโอโก้ ดาโลต์, แอรอน วาน-บิสซาก้า (แฮร์รี่ แม็กไกวร์ น. 71), บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, ค็อบบี้ ไมนู (คริสเตียน เอริคเซ่น น. 80), มาร์คัส แรชฟอร์ด, อเลฮานโดร การ์นาโช่, ราสมุส ฮอยลุนด์ (อันโตนี่ น.71)
ลิเวอร์พูล : ควีวิน เคลเลเฮอร์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ น. 76), โจ โกเมซ (คอสตาส ซิมิกาส น. 101), จาร์เรลล์ ควอนซาห์, วาตารุ เอ็นโด, โดมินิค โซโบซไล (ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ น. 72), อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (โคดี้ กัคโป น. 77), หลุยส์ ดิอาซ (บ็อบบี้ คล้าร์ก น. 114), ดาร์วิน นูนเญซ