เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับทีมตั้งแต่พักครึ่งเวลาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัว
และเมื่อถึงเวลาต้องใช้ผู้เล่นสำรอง เขาก็เลือกหย่อนคนที่ถูกต้องลงสนาม เลือกเปลี่ยนคนที่ถูกต้องออกมา
เมื่อมีนักเตะให้เลือกใช้มากพอ คล็อปป์ก็แสดงให้เห็นว่าเขาคือกุนซือมือทองในด้านการปรับแก้เกมเช่นกัน ไม่ได้มีดีเพียงแค่เรื่องอื่นร้อยแปดพันเก้าที่ได้รับคำชมและยอมรับ เอาแค่ฤดูกาลนี้ก็มีหลายต่อหลายเกมที่ตัวสำรองของคล็อปป์สร้างความแตกต่างให้เห็น
หลังจบครึ่งแรกที่รูปเกมเป็นรอง มีโอกาสยิงแค่ 2 ครั้งเทียบกับ 13 หนของอาร์เซน่อล เขาปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไปไม่ได้
การเปลี่ยนแบบไมเนอร์เชนจ์ - แค่ปรับตำแหน่งการยืนไม่ได้เปลี่ยนตัวผู้เล่น - ของคล็อปป์
ถอย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ จากกองหน้าฝั่งขวาลงมากองกลาง
ดัน โกดี้ คักโป จากกองกลางขึ้นไปเป็นกองหน้าตัวเป้า
ขยับ ดาร์วิน นูนเญซ จากกองหน้าตัวเป้าไปเล่นกองหน้าด้านซ้าย
โยก หลุยส์ ดิอาซ จากกองหน้าด้านซ้ายมายืนกองหน้าฝั่งขวา
นักเตะ 4 คนถูกคล็อปป์จับสลับตำแหน่งราวกับเปลี่ยนตายืนของเบี้ยในเกมหมากรุก
มันได้ผลทันทีราวกับส่งนักเตะใหม่ลงสนาม จากที่เงียบๆ ในครึ่งแรกทั้ง 4 คนกลับมามีบทบาทและมีชีวิตชีวาโดยเฉพาะ ดาร์วิน และ ดิอาซ ที่โขยกเกมริมเส้นอย่างสนุก
พื้นที่ฝั่งขวาที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทิ้งเอาไว้ เวลานี้จึงกลายเป็นมีตัวเลือกทั้ง เอลเลียตต์ คักโป ดีโอโก้ โชต้า และ ดิอาซ
นักเตะตัวรุกของลิเวอร์พูลมีความหลากหลายสามารถเล่นได้มากกว่า 1 ตำแหน่ง เป็นคุณสมบัติด้านบวกที่ทำให้ผู้จัดการทีมมีทางเลือกมากขึ้นในการแก้ปัญหา
และเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนตัวผู้เล่น คล็อปป์ก็ส่งคนที่มีผลโดยตรงต่อเกมลงมาอีก
โชต้าแทน คักโป ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ไรอัน กราเฟนแบร์ค แทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ในตำแหน่งกองกลาง ประสานงานกับ เอลเลียตต์ เคอร์ติส โจนส์ และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่รับผิดชอบบทบาทอินเวิร์ตฟูลแบ๊ก
มันทำให้เกมดีขึ้นไปอีก แดนกลางคล่องตัวขึ้น มีพลังและเร็วขึ้น สดชื่นขึ้น การวางบอลสั้น-ยาวของเทรนต์โจมตีเกมรับอาร์เซน่อลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดาร์วินปั่นป่วน เบน ไวท์ ได้ดีเมื่อมีพื้นที่ให้ใช้ความเร็วและความแข็งแรงที่เป็นจุดเด่น ดิอาซใช้ความจัดเล่นงาน ยาคุบ คิวิออร์
โชต้าไม่มีคำถามอะไร เขาจะยืนตรงไหนก็อันตราย เซนส์บอลสูง ทักษะดี ศักยภาพในเกมรุกยอดเยี่ยม
แดนกลางที่ตื่นตัวกว่าเดิม เคลื่อนตัวเร็วกว่าเดิม และมีสมาธิมากขึ้นจากความผิดพลาดในครึ่งแรกทำให้ลิเวอร์พูลแทบไม่เสียบอลจากการถูกนักเตะปืนใหญ่อ่านจังหวะชิงตัดบอลขณะจะต่อเกมขึ้นหน้าอย่างในครึ่งแรกอีกเลย
การเสียบอลขณะกำลังจะสร้างเกมบุกคืออันตรายขั้นสุด หนึ่งคือการตั้งเกมรับจะไม่เป็นกระบวนเพราะทุกคนไม่อยู่ในพื้นที่เตรียมตัวรับเกมบุก สองคือบอลจะอยู่ในแดนตัวเองโดยอัตโนมัติ ใกล้เขตโทษ ใกล้ประตู สามคือจำนวนผู้เล่นเกมรุกของคู่แข่งจะมากพอๆ หรือมากกว่าผู้เล่นเกมรับ
โอกาสเสียประตูสูงลิบ
อาร์เซน่อลทำเรื่องนี้ได้ดีในครึ่งแรก ความเข้มข้นของการบีบกดดันและอ่านจังหวะตัดบอลที่ส่งขึ้นหน้ารวมทั้งความผิดพลาดเสียบอลง่ายๆ เองของลิเวอร์พูลทำให้ทีมปืนใหญ่มีโอกาสทองไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้ง
แต่ปัญหาของทีมปืนใหญ่ในช่วงหลังเป็นอย่างนี้ มีโอกาสแล้วทำไม่ได้ เล่นดีก็มี เล่นแย่ก็มี แต่ผลลัพธ์ของมันเหมือนกันคือเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูไม่ได้ ที่สำคัญคือช่วงนี้เดอะกันเนอร์สเล่นอย่างสูญเสียความมั่นใจไปอีก
เกมเสมอลิเวอร์พูล แพ้เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และแพ้ฟูแล่ม มีสัญญานของปัญหาฉายให้เราเห็นชัดเจนมาก อาร์เซน่อลดูติดขัด ลังเล และกังวล แดนหน้าเป็นกันยกแผง กองกลางแทบจะเหลือแค่ มาร์ติน โอเดการ์ด ที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้อยู่
เอฟเอ คัพ นัดนี้ก็เช่นกัน ความเงอะงะในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มทำให้แทนที่ทีมจะได้ประตูจากโอกาสที่เปิดให้ก็กลับกลายเป็นปล่อยให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกม ไม่เสียเปรียบ
และเมื่อทีมหงส์แดงรอดพ้นวิกฤติ มีเวลาแก้เกมในช่วงพักครึ่ง โอกาสก็ย้ายข้ามฝั่งไปอยู่กับอาคันตุกะจากเมอร์ซี่ย์ไซด์บ้าง
ครึ่งหลังเป็นรูปเกมอีกแบบ ครึ่งแรกอาร์เซน่อลชนะคะแนนหายห่วง แต่ครึ่งหลังยิ่งเล่นไปความอันตรายก็ยิ่งน้อยลงๆ ความหวังที่จะได้เห็นประตูก็ค่อยๆ หดหาย มันถูกผ่องถ่ายข้ามฝั่งไปยังลิเวอร์พูล เกมดีขึ้น มั่นใจขึ้น และอันตรายยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแท็คติกที่ถูกต้องและการเปลี่ยนตัวที่ได้ผลสามารถเปลี่ยนแนวทางของเกมและผลลัพธ์ที่ออกมาได้ คล็อปป์และลิเวอร์พูลทำให้เห็นเมื่อคืนที่ผ่านมา
มองดูจากความเป็นจริง คล็อปป์ กับ มิเกล อาร์เตต้า เจอโจทย์ที่ไม่เหมือนกันในช่วงพักครึ่ง ปัญหาที่อาร์เตต้ามองเห็นน่าจะมีแค่ความเด็ดขาดในการจบสกอร์ เพราะส่วนอื่นๆ ดีอยู่แล้วทั้งหมด อาจจะเน้นเกมรับให้ระวังบอลโต้กลับให้มากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น แต่คล็อปป์เห็นจุดที่ต้องแก้เต็มไปหมด
เกมที่ดีกว่าในครึ่งแรกจึงอาจเป็นดาบสองคม มันไม่ได้การันตีว่าคุณจะยังเหนือกว่าเหมือนเดิมในครึ่งหลังเพราะทุกอย่างถูกรีเซ็ตกันใหม่ตั้งแต่พักครึ่ง ยิ่งคู่ต่อสู้ระดับใกล้เคียงกันก็ยิ่งมีโอกาสที่รูปเกมจะสูสีขึ้นหรือพลิกผันไปอีกทาง
ลิเวอร์พูลเข้ารอบ 4 เอฟเอ คัพ ด้วยความยอดเยี่ยมในการมองเกมของคล็อปป์และการตอบสนองของนักเตะในทีม เป็นผลการแข่งขันที่เรียกความมั่นใจได้มากในช่วงเวลาที่ไม่มีตัวหลักทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ วาตารุ เอนโด
ขณะที่อาร์เซน่อล.. อาร์เตต้าและทีมของเขากำลังเผชิญหน้ากับคำถามตัวโตขึ้นเรื่อยๆ มันมาพร้อมแรงกดดันมหาศาล
หัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาลอาจจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด ทุกเกมนับจากนี้สำคัญในระดับนัดชิงฟุตบอลถ้วยอย่างไรอย่างนั้นทีเดียว
ตังกุย