ทั้ง สปาร์ต้า ปราก และ ลิเวอร์พูล ต่างก็มีผลงานที่ดีมาด้วยกันทั้งคู่..
สปาร์ต้าไม่แพ้เกมเหย้าของตัวเองเลยในทุกรายการ ลงเล่น 18 เกมเสมอแค่ 3 นัด ที่เหลืออีก 15 เกมเป็นชัยชนะทั้งหมด กาลาตาซารายทีมดังจากตุรกียังถูกถล่มขาดลอยที่นี่ 1-4 ในเกมเพลย์ออฟที่ผ่านมา ส่วนในลีกก็นำเป็นจ่าฝูง
ลิเวอร์พูลแพ้แค่เกมเดียวจาก 18 นัดหลังสุดทุกรายการนั่นคือเกมที่ปราชัยต่ออาร์เซน่อลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งหลังจากเกมนั้นก็ชนะมา 6 เกมรวด ได้แชมป์ลีก คัพ เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเอฟเอ คัพ และนำเป็นจ่าฝูงเช่นกันบนตารางพรีเมียร์ลีก
การจัดตัวของ เยอร์เก้น คล็อปป์ บอกชัดว่าเขาเน้นกับเกมนี้ ต้องการเอาชนะให้ได้ตั้งแต่เกมแรกนี้เลยเพราะไม่มีเด็กจากทีมเยาวชนที่ถูกใช้งานบ่อยครั้งในช่วงหลังลงเล่นตัวจริงแม้แต่คนเดียว
โจ โกเมซ กับ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เล่นแบ๊ก อิบราฮิมา โกนาเต้ กับ จาเรลล์ ควอนซาห์ ยืนเซนเตอร์แบ๊กคู่กัน ควีวิน เคลเลเฮอร์ ที่ฝ่าข่าวลือเรื่องบาดเจ็บเฝ้าเสาไม่มีปัญหา
กองกลางมีทั้ง แม็ค อัลลิสเตอร์ วาตารุ เอนโด และ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ส่วนข้างหน้า ดาร์วิน นูนเญซ หลุยส์ ดิอาซ และ โกดี้ คักโป
มี โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่สมบูรณ์ดีแล้วเป็นตัวสำรอง
ความเข้มข้นของการเล่นถือว่าสนุกเพราะเกมค่อนข้างเร็ว ฟุตบอลของเจ้าถิ่นโดยกุนซือ ไบรอัน พริสเค่ ดุดัน เข้าถึงบอลไว ทั้งยังมีเสียงเชียร์เร่งเร้า แต่การเจอคู่ต่อสู้เล่นเร็วเข้าใส่ก็เป็นแนวทางที่ลิเวอร์พูลรับมือได้ดีด้วยทักษะ ความเข้าใจเกม และคุณภาพเฉพาะตัว ผ่านบอลสั้นให้กันและเอาตัวรอดจากสถานการณ์ถูกบีบได้ไม่ยาก
เป็นการบีบเกมของลิเวอร์พูลเองเสียอีกที่ทำได้หนักกว่าและเป็นที่มาของประตูขึ้นนำตั้งแต่ห้านาทีแรก
การสร้างเกมขึ้นมาจากแนวหลังของ สปาร์ต้า ปราก ถูกบีบแย่งไปครั้งหนึ่งแล้วก่อนหน้านี้ และเมื่อ อาสเกอร์ โซเรนเซ่น กองหลังชาวเดนมาร์กเลือกเล่นบอลอีกหนึ่งจังหวะเพื่อความแน่นอนในการออกบอลเขาก็ถูก แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่จ้องเอาไว้แล้วฉกบอลไปก่อนจะถูกสกัดล้มในเขตโทษ
แม็ค อัลลิสเตอร์ลุกขึ้นมาสังหารเองไม่พลาด ทำให้งานของทีมผ่อนความตึงเครียดลงเมื่อเปิดหัวได้แบบนี้ แต่กระนั้นเกมบุกของ สปาร์ต้า ก็ทำได้ดี ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงมีสถิติการเล่นเกมเหย้าที่ยอดเยี่ยม
ลูคัส ฮาราสลิน กับ เวลจ์โก้ เบอร์มานเซวิช กองหน้าตัวริมเส้นของสปาร์ต้ามีความเร็วและเล่นกับพื้นที่หลังแนวรับลิเวอร์พูลได้ดี มีโอกาสทองในนาทีที่ 15 ที่ ฮาราสลิน ได้ชาร์จจ่อๆ แต่ เคลเลเฮอร์ ยังป้องกันไว้ได้ก่อนที่ โกเมซ จะตามไปสกัดบอลที่ปลิ้นลอยกำลังจะข้ามเส้นเข้าประตู
การป้องกันของ เคลเลเฮอร์ เป็นกุญแจสำคัญอีกดอกของเกมนี้ ในครึ่งแรกมี 2-3 จังหวะใหญ่ๆ ที่นายทวารไอริชยังคงรักษาความเยือกเย็นในจังหวะป้องกันประตูได้เหมือนเคย สปริงตัวปัดบอลแฉลบที่กำลังจะย้อยเสียบคานในช่วงที่เจ้าถิ่นโหมบุกเพื่อตีเสมอ และไม่เพียงใช้มือได้ดีเท่านั้นเขายังใช้เท้าได้เยี่ยม มันช่วยได้มากในบางสถานการณ์ที่การล้มตัวปัดจะช้ากว่าใช้ขาสกัด
ประตู 2-0 จากการยิงไกลของดาร์วินคือความแตกต่างของการจบสกอร์ เขารับบอลจากเอลเลียตต์นอกเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะแต่งบอลเบาๆ แล้วเหวี่ยงเท้ายิงส่งบอลพุ่งเร็วแรงแถมส่ายเล็กน้อยทำให้ ปีเตอร์ เยนเซ่น วินดาห์ล นายทวารเจ้าถิ่นกะจังหวะพลาดมุดใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม
มันคือประตูที่ 1,000 ของลิเวอร์พูลในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ จะเกิดขึ้นทั้งทีก็ต้องเป็นประตูที่มีสไตล์แบบนี้
สกอร์ 3-0 จากการวอลเล่ย์ของดาร์วินในช่วงทดเวลาครึ่งแรกทำให้ผู้ชนะของคู่นี้น่าจะได้รับการยืนยัน แต่การทำเข้าประตูตัวเองของ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ที่ถูกส่งลงมาแทน โกเมซ ตอนพักครึ่งกระตุกให้เจ้าถิ่นฮึดขึ้นมาอีกครั้ง
การเปลี่ยน โกเมซ ออกตั้งแต่พักครึ่งทำให้ความวิตกเกิดขึ้นเหมือนกันว่าเพราะมีปัญหาบาดเจ็บอย่างไรไหม แต่ คล็อปป์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการให้โกเมซได้พัก ส่วนจังหวะทำเข้าประตูตัวเองของแบร๊ดลี่ย์ลูกนั้นป้องกันลำบาก บอลผ่านแรงจากด้านข้าง จุดที่เขาสกัดอยู่ระยะ 6 หลากลางประตู ด้านหลังมีคู่แข่งรอเข้าชาร์จ โอกาสเสียประตูมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
พื้นที่ด้านหลังแนวรับที่ดันสูงของลิเวอร์พูลคือจุดยุทธศาสตร์ที่เจ้าถิ่นใช้โจมตี และสกอร์ก็เกือบจะเป็น 3-2 ด้วยซ้ำถ้าลูกเปิดของ เบอร์มานโควิช จากการหลุดเข้าเขตโทษฝั่งขวามีน้ำหนักและทิศทางที่ดีกว่านี้ทำให้ ฮาราสลิน ไม่ต้องเสียจังหวะแต่งบอลจนทำให้มุมยิงแทบไม่เหลือ
โกนาเต้เจ็บจากจังหวะนี้และคงต้องลุ้นกันหนักว่าจะหายทันเกมรับมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์ไหม แต่การลงมาแทนของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ก็ทำให้เกมป้องกันนิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกันคล็อปป์ก็ถอดดาร์วินออกแล้วส่ง โดมินิก โซโบซไล ลงมา เป็นการพักศูนย์หน้าอุรุกวัยเพื่อเกมกับซิตี้วันอาทิตย์ ขณะเดียวกันก็เพื่อโอกาสที่มากขึ้นของ คักโป ด้วย
คักโป กำลังต้องการประตูหรือการมีส่วนร่วมกับประตูเพื่อเรียกความมั่นใจที่กำลังหดหาย มองไปในทีมเวลานี้ทุกคนเหมือนจะเข้าที่เข้าทางกันหมดแล้ว มีเพียงดาวเตะดัตช์ที่มองเห็นได้ถึงความกังวลจนเน้นมากเกินในบางจังหวะ
ท้ายครึ่งแรกที่คักโปพลิกหลบตัวประกบได้สวยจนมีโอกาสได้สับไกโล่งๆ ในเขตโทษไปถูกวินดาห์ลป้องกันได้คือตัวอย่างของความกดดันที่กำลังเล่นงาน เพราะเขาไม่มองตำแหน่งของผู้รักษาประตูเลย
จังหวะนั้นผมคิดว่าคักโปพยายามทำให้ทุกอย่างง่ายและซับซ้อนน้อยที่สุด นั่นคือถ้าพลิกผ่านมาได้ก็จะยิงทันทีไม่ต้องคิดมาก มันจึงโชคร้ายที่ทิศทางการยิงของเขาไปตรงตัววินดาห์ลพอดีทั้งๆ ที่นายด่านเจ้าถิ่นขาตายทิ้งน้ำหนักไปทางนั้นแล้ว
ถ้าเป็นช่วงสภาวะปกติผมเชื่อว่าคักโปจะเหลือบมองตำแหน่งการยืนของนายทวารก่อน และมุมขวามือที่เปิดโล่งอยู่นั้นจะเป็นมุมที่เขาส่งบอลเข้าไป
ก็นั่นล่ะครับ ฟุตบอลควรจะเล่นง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพ ทว่าสำหรับใครที่เคยเล่นบอลคงจะเข้าใจว่าในวันที่ไม่ใช่วันของเรา ทำอะไรมันก็ดูจะผิดพลาดไปหมด
คักโปกำลังอยู่ในช่วงนั้น แต่เขาโชคดีที่ยังมีเจ้านายและเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจ ให้โอกาสและพยายามยื่นโอกาสให้เสมอ
คล็อปป์ไม่เปลี่ยนเขาออกแต่เลือกถอดดาร์วินแทนแม้ดาร์วินจะกำลังลุ้นทำแฮตทริกเพราะเขาเข้าใจดีว่าคักโปต้องการประตูมากแค่ไหน ขณะที่ซาลาห์ซึ่งเปลี่ยนตัวลงมาเคาะสนิมในช่วง 15 นาทีสุดท้ายก็มองหา คักโป ก่อนใครในจังหวะที่เขากระชากหลุดเข้าเขตโทษ
ตำแหน่งของคักโปตั้งแต่ดาร์วินถูกเปลี่ยนออกไปคือกองหน้าตัวเป้ายาวๆ คล็อปป์ตั้งใจให้เขาอยู่ใกล้ประตูที่สุดเพื่อทำประตู ไม่ว่าใครจะถูกส่งลงสนามหลังจากนั้นพื้นที่ของเขาไม่ถูกกระทบ
น่าเสียดายที่จนแล้วจนรอด ประตูที่ต้องการก็ยังไม่มา ได้แค่ใกล้เคียงในจังหวะยิงระยะประชิดที่ติดวินดาห์ลเท่านั้น
ต้องเอาใจช่วยกันต่อไป นักฟุตบอลทุกคนต้องการจังหวะและโอกาส เหมือนที่เพื่อนร่วมทีมอย่าง เคอร์ติส โจนส์ โกเมซ เอนโด หรือกระทั่ง ฟาน ไดค์ ได้รับและทุกคนสามารถตอบคำถามที่แฟนบอลสงสัยได้ทั้งหมดในซีซั่นนี้
ตราบใดก็ตามที่คล็อปป์ยังเชื่อมั่นในตัวเขา ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวเขา
ส่วนการลงสนามของซาลาห์เป็นจังหวะที่เหมาะสมพอดี หายเจ็บร่างกายสมบูรณ์และได้มีเกมจริง 15 นาทีเกลาโมเมนตัมให้พร้อมสำหรับศึกใหญ่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์
ประตูที่ถูกริบไปจาก VAR ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนักด้วยสกอร์ขาดลอยไปไกลแล้วทั้งยังถูกยืนยันอยู่ดีด้วยประตูปิดท้าย 5-1 จากโซโบซไลที่ลากมายิงหักข้อเบาๆ ในช่วงทดเวลา
บทจะดี ทุกอย่างก็ง่ายไปหมดจริงๆ
คนที่ตอบสนองด้านแท็กติกของคล็อปป์มากที่สุดในเกมนี้คือ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ที่เล่น 3 ตำแหน่งเหมือนที่ โจ โกเมซ เพิ่งจะทำมาในเกมล่าสุดกับฟอเรสต์
เอลเลียตต์เริ่มต้นด้วยตำแหน่งกองกลางฝั่งขวา แล้วดันขึ้นไปเล่นกองหน้าด้านขวาแทนคักโปที่ขยับเข้าไปยืนกองหน้าตัวเป้าหลังการเปลี่ยนโซโบซไลแทนดาร์วิน ก่อนจะจบเกมด้วยบทบาทกองหน้าด้านซ้ายแทน หลุยส์ ดิอาซ ที่ถูกถอดออกตอนซาลาห์ลงสนาม
เป็นคุณสมบัติเพิ่มเติมที่มีอยู่ในตัวลูกทีมของคล็อปป์ และเอลเลียตต์ก็มีส่วนประสานงานกับแบร๊ดลี่ย์เป็นที่มาของประตู 4-1 โดยดิอาซด้วย
ชัยชนะ 5-1 ที่ปรากทำให้ลิเวอร์พูลแทบไม่มีความเสี่ยงใดๆ กับการตกรอบยูโรปา ลีก มันส่งผลโดยตรงต่อฟุตบอลอีกรายการที่ทีมยังมีลุ้นนั่นคือเอฟเอ คัพ ที่จะต้องไปเยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายสุดสัปดาห์หน้า
เกมกับสปาร์ต้า ปราก และผลที่ออกมานั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบเว้นเพียงอาการบาดเจ็บของโกนาเต้ แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จในทุกรายการของลิเวอร์พูลยังคงเดินหน้าต่อไป
สถานีหน้า ใหญ่ที่สุด มหึมาที่สุด และ.. อาจจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ อีก 2 วันได้รู้กัน
ตังกุย