แม้เกมแรกจะตุนสกอร์ไว้เยอะ 4-1 แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังบุกมาเอาชนะ เรอัล เบติส เพิ่มได้อีก 1-0 ในการฟาดแข้งศึก ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมนัดสองที่สนาม เบนิโต้ บิยามาริน สเตเดี้ยม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มี.ค.
รวมผลสองนัด ผีแดง ผ่านเข้ารอบแปดทีมได้อย่างสบายเท้าด้วยสกอร์รวม 5-1 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเหนือกว่าทีมอันดับห้าของ ลา ลีกา หลายขุม และเหมาะที่จะเป็นเต็งจ๋าของแชมป์รายการนี้อย่างที่ถูกวางตัวเอาไว้ หากแต่สุดท้ายมันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า และผลการจับสลากประกบคู่ในวันศุกร์นี้จะเป็นใจให้กับพวกเขาหรือไม่ก็ต้องรอลุ้นกัน
1. เบติส ปรับสามจุดหวังสามเม็ดอย่างต่ำ
เรอัล เบติส ซึ่งเกมแรกบุกไปพ่าย แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดลอย และต้องการสามประตูเป็นอย่างต่ำเพื่อต่อลมหายใจเปลี่ยนทีมตัวจริงรวมทั้งสิ้นสามรายเมื่อเทียบจากเกมแรกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งนายทวารที่ มานูเอล เปเยกรินี่ กุนซือชาว ชิลี ตัดสินใจส่ง รุย ซิลวา นายด่านตาข่าย โปรตุกีส เฝ้าเสาแทน เคลาดิโอ บราโว่ ขณะที่ หลุยส์ เฟลิเป้ กองหลังทีมชาติ อิตาลี เดี้ยง ต้องใช้งาน เอ็ดการ์ กอนซาเลซ แทน
เท่านั้นไม่พอ เจ้าบ้านปรับโผในแดนหน้าเช่นกันด้วยการส่ง ไอตอร์ รูอิบัล ลงบู๊ก่อนหน้า หลุยส์ เฮนรีเก้
2. ผีแดง ส่ง เปยิสตรี้ ลงตัวจริงนัดแรก
เอริค เทน ฮาก กุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจส่ง ฟากุนโด้ เปยิสตรี้ แนวรุก อุรุกวัย วัย 21 ปีลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกนับตั้งแต่ย้ายมาจากทีม เปนญารอล สโมสรในบ้านเกิดเมื่อเดือนต.ค.2020 ในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาว นอรเวย์
พร้อมกันนี้ กาเซมีโร่ กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส สองกองกลางก็ได้ลงสนามอย่างที่เจ้านายชาวดัตช์ระบุเอาไว้แม้ทั้งคู่จะโดนแบนเกมหน้าหากรับใบเหลืองในเกมนี้ก็ตามที
กระนั้นก็ดี หากเทียบจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่ ผีแดง เฝ้าบ้านเจ๊ากับ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เทน ฮาก ปรับโผ 11 คนแรกรวมสี่รายโดยเลือกใช้งาน เฟร็ด , เปยิสตรี้ , แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ ไทเรลล์ มาลาเซีย ลงบู๊ ขณะที่ ราฟาแอล วาราน, เจดอน ซานโช่ และ ลุค ชอว์ มีชื่อนั่งข้างสนาม ส่วน อันโตนี่ บาดเจ็บ
สำหรับ แม็กไกวร์ ซึ่งยังติดโผทีมชาติ อังกฤษ ชุดล่าสุดตามเคยได้สวมปลอกแขนกัปตัน และเป็นการลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกของเขานับตั้งแต่เกมบุกไปคว่ำ ลีดส์ 2-0 ช่วงต้นเดือนก.พ.
3. ครึ่งแรกเจ้าบ้านยังทื่อ
แม้จะพยายามบุกอย่างเต็มที่เพื่อยิงประตูแรกให้เร็วที่สุด แต่จะเห็นได้ว่าจังหวะสุดท้ายของ เบติส ขาดความอันตรายที่จะสร้างปัญหาให้ทีมเยือนได้แม้ เทน ฮาก จะไม่ได้ใช้งานแผงหลังชุดที่แข็งแกร่งที่สุดลงบู๊ก็ตาม
ว่ากันตามสถิติ แมนฯ ยูไนเต็ด ครองบอลได้มากกว่าด้วยซ้ำ 56:44% แต่จังหวะสำคัญเหมือนบ่งบอกว่าเกมตกเป็นของทีมลูกหนังจากแดนกระทิงดุ และพวกเขามีโอกาสคลำเป้ามากกว่ารวม 7 ครั้ง แต่เข้ากรอบครั้งเดียวโดยถูก เด เคอา ปัดป้องได้
ด้าน ผีแดง มีโอกาสยิงรวม 4 ครั้ง และไม่เข้ากรอบเลยซึ่งขี้ให้เห็นว่าไม่ใช่เกมที่ดีของพวกเขาหากจะวัดกันตามมาตรฐาน แต่กระนั้นมันก็เป็นเรื่องของแท็คติกเช่นกันเนื่องจาก เร้ด เดวิลส์ นำหน้าขาดลอยจากนัดแรกจึงไม่มีความจำเป็นต้องเล่นอย่างสุ่มเสี่ยงขอเพียงแค่รักษาสกอร์เอาไว้ก็จะผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายอย่างที่ควรจะเป็น
4. ครึ่งหลังทีมเยือนปล่อยของ
หลังจากเล่นแบบคุมเชิงในครึ่งแรกเพื่อดูท่าทีของเจ้าบ้าน และเห็นว่าไม่มีความน่ายำเกรง ครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มเปิดเกมรุกทันที และมาได้ลูกยิงจากหน้าเขตโทษในนาทีที่ 55 ของ มาร์คัส แรชฟอร์ด พาทีมออกนำ 1-0 หลังจากก่อนหน้านี้ดาวยิงทีมชาติ อังกฤษ น่าจะคลำเป้าได้เช่นกันจากจังหวะได้ลูกจ่ายของ แฟร์นันด์ส หลุดเดี่ยวไปซัดข้ามคานอย่างน่าเสียดาย
หลังมีสกอร์เพิ่ม เทน ฮาก ก็ตัดสินใจเปลี่ยน แรชฟอร์ด ออกไปพัก รวมถึง แฟร์นันด์ส ด้วยเพื่อเปิดโอกาสให้บรรดาตัวสำรองได้ลงบู๊ และไม่ได้ส่งผลเสียต่อทีมเลยแม้แต่น้อยเนื่องจาก ผีแดง มั่นใจเต็มเปี่ยมแล้วหลังนำหน้าไปไกลลิบด้วยสกอร์รวม ขณะที่ เบติส ดูจะหมดอาลัยตายอยากไม่อาจทำเกมรุกได้อีก แถมเกือบเสียประตูเพิ่มหลายครั้งด้วย
รวมแล้วในช่วงครึ่งหลัง ยิ่งเล่นทีมของ เปเยกรินี่ ก็ยิ่งแย่กระทั่งครบ 90 นาทีจึงแพ้คาบ้านตามระเบียบจากสถิติที่เป็นรองทุกด้านทั้งการครองบอล 54:46% และโอกาสยิงประตูซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด แซงหน้าไปได้จาก 17:15 ครั้ง และเข้ากรอบมากกว่า 4:2 ครั้ง
5. แรชฟอร์ด สร้างความแตกต่าง
หากไม่มี แรชฟอร์ด สักคน รวมถึงประตูโทนของสตาร์ผิวสี เบติส ก็น่าจะยังมีลูกฮึดสู้ต่อ แต่ในเมื่อมาเจอทีเด็ดของหัวหอกฟอร์มฮ็อตเล่นงานเป็นซ้ำสองเหมือนเกมแรกที่เขายิงประตูได้เช่นกัน ทีมจากเมืองกระทิงก็ถึงกับยกธงขาวทันที
นับจนถึงขณะนี้ แรชฟอร์ด ยังคงกระทุ้งประตูได้เป็นว่าเล่นต่อไป และมันเป็นประตูที่หกจากแปดเกมหลังของเขา หรือเป็นประตูที่ 27 ของซีซั่นเข้าไปแล้ว
ขณะเดียวกัน หากจะนับเฉพาะประตูในฟุตบอลถ้วยยุโรป พ่อค้าแข้งวัย 25 ปีกดเพิ่มได้เป็น 25 ประตูแซงนำผลงานของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อดีตดาวดังของสโมสรขึ้นสู่อยู่ในทำเนียบอันดับหกแทนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เท่านั้นไม่พอ แรชฟอร์ด ยังมีสถิติตามหลัง พอล สโคลส์ แค่ประตูเดียวด้วยจึงเชื่อขนมกินได้เลยว่าเขาจะทำลายสถิติของอดีตมิดฟิลด์ทีมชาติ อังกฤษ ได้อีกราย ขณะที่เจ้าของสถิติสูงสุดในข่ายนี้ได้แก่ เวย์น รูนีย์ ที่กระทุ้งไปได้ 39 ประตู