วันพรุ่งนี้ฟุตบอลบุนเดสลีกาเยอรมันจะปิดฤดูกาลกันแล้วนะครับ
ว่ากันด้วยสถิติลีกเยอรมันคือลีกที่เตะกันสะเด่า สะใจ และถึงใจที่สุดแล้วในบรรดาลีกใหญ่ๆ ของยุโรป
-มีค่าเฉลี่ยทำประตูต่อเกมมากที่สุดในห้าลีกใหญ่ เกิน 3 ลูกต่อหนึ่งเกม
-มีอัตราการเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูมากที่สุดในห้าลีกใหญ่
-มีการทำประตูจากนักเตะอายุไม่เกิน 20 ปีเกิดขึ้นมากที่สุดในห้าลีกใหญ่
-มีค่าเฉลี่ยแฟนบอลเข้าชมต่อเกมมากที่สุดในห้าลีกใหญ่ สี่หมื่นกว่าคนต่อหนึ่งเกม
เราอาจจะไม่ได้สนใจลีกเยอรมันมากนักด้วยเวลาเตะที่เกือบจะชนกับลีกยอดนิยมอย่างพรีเมียร์ลีก ขณะที่การครองแชมป์แบบผูกขาดของ บาเยิร์น มิวนิค ก็เป็นปัจจัยประกอบที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าน่าเบื่อ
กระนั้นด้วยตัวเลขและสถิติ ลีกเมืองเบียร์ก็คือลีกที่อุดมไปด้วยความเมามัน ค่าเฉลี่ยประตูต่อเกมเยอะกว่าลีกใหญ่อื่นๆ ใครที่ได้ดูถ่ายทอดสดทุกสัปดาห์ทาง PPTV HD36 ก็คงจะเห็นด้วยว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
หลายเกมที่สถานการณ์พลิกผันในวินาทีสุดท้าย อย่างฤดูกาลนี้ใครจะคิดว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะแพ้ แวร์เดอร์ เบรเมน คาบ้านตัวเองทั้งที่ผ่านไปถึงนาทีที่ 89 แล้วทีมยังนำ 2-0 อยู่เลย หรือดอร์ทมุนด์เจ้าเก่าอีกนั่นแหละที่บุกไปนำสตุ๊ตการ์ท 2-0 ได้เปรียบตัวผู้เล่นอีกด้วยแต่โดนไล่ตีเสมอ 2-2 เร่งยิง 3-2 ได้ช่วงทดเวลานาที 90+2 ก็ยังมาถูกตีเจ๊าอีกหนนาที 90+7 ลงเอยที่ 3-3
กระนั้นดอร์ทมุนด์ก็คือจ่าฝูงของตารางเมื่อเข้าสู่เกมสุดท้ายคืนพรุ่งนี้
สถานการณ์บนตารางคะแนนพลิกผันไปมาหลายตลบ เฉพาะฤดูกาลนี้จ่าฝูงเปลี่ยนมือไปอยู่กับทั้ง บาเยิร์น ไฟร์บวร์ก อูนิโอน เบอร์ลิน และ ดอร์ทมุนด์ ที่เพิ่งเป็นจ่าฝูงได้ 3 ครั้งเท่านั้นเองแต่ทำท่าจะหยิบชิ้นปลามันไปกิน
บาเยิร์น มิวนิค คือแชมป์เก่าและแชมป์ 10 ปีซ้อน นำมาอยู่ดีๆ ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรกก่อนพักทีมชาติให้ฟุตบอลโลก 2022 แต่พอกลับมาเล่นกันอีกครั้งเสือใต้กลายเป็นเสือหงอยทำแต้มกระเด็นหลุดมือเป็นว่าเล่น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เกมล่าสุดที่ถูก แอร์เบ ไลป์ซิก รัวแซงแพ้ 1-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายขึ้นนำไปก่อน 1-0 คือการเสียคะแนนจากสถานการณ์ที่ถือสามแต้มอยู่ในมือเป็นครั้งที่ 8 เข้าไปแล้วในฤดูกาลนี้
ทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค นำแล้วไม่ชนะถึง 8 เกมในฤดูกาลเดียว ได้แค่เสมอบ้างหรือเลวร้ายถึงขั้นกลับมาแพ้เลยบ้าง แต้มกระเด็นหลุดจากมือไปถึง 19 คะแนน
ครึ่งฤดูกาลแรก (ยูเลียน นาเกลส์มันน์)
-นำสตุ๊ตการ์ท 1-0 กับ 2-1 จบ 2-2
-นำดอร์ทมุนด์ 2-0 จบ 2-2
ครึ่งฤดูกาลหลัง (นาเกลส์มันน์)
-นำไลป์ซิก 1-0 จบ 1-1
-นำแฟร้งค์เฟิร์ต 1-0 จบ 1-1
-นำเลเวอร์คูเซ่น 1-0 แพ้ 1-2
ครึ่งฤดูกาลหลัง (โธมัส ทูเคิ่ล)
-นำฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-0 จบ 1-1
-นำไมนซ์ 1-0 แพ้ 1-3
-นำไลป์ซิก 1-0 แพ้ 1-3
6 ใน 8 เกมที่ว่านั้นเกิดขึ้นในปี 2023 หรือครึ่งฤดูกาลหลังที่มีศึกฟุตบอลโลกมาคั่น มันคือปีหายนะของพวกเขาอย่างแท้จริง
มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในสโมสร มานูเอล นอยเออร์ เจ็บยาวทีมต้องควานหาผู้รักษาประตูคนใหม่ก่อนไปได้ ยานน์ ซอมเมอร์ มาแทน
ปลด ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ออกจากตำแหน่งเทรนเนอร์แล้วมอบเก้าอี้ให้ โธมัส ทูเคิ่ล ที่กำลังว่างงานพอดี
ซาดิโอ มาเน่ กับ ลีรอย ซาเน่ ฟาดปากกันเอง
พูดได้คำเดียวว่าเละเทะ แล้วผลลัพธ์ที่ออกมาก็สะท้อนความเละเทะนั้นอย่างชัดเจน
จากที่เคยนำดอร์ทมุนด์ 9 คะแนนก่อนเข้าฟุตบอลโลกทั้งยังไล่ทุบได้ในศึกแดร์กลาซิเกอร์ที่เจอกันต้นเดือนเมษายน บาเยิร์นถูกคู่ปรับสำคัญรวบแบบทบต้นทบดอกหล่นจากเก้าอี้จ่าฝูงเอาในช่วงเวลาที่ชี้เป็นชี้ตายที่สุด
ดอร์ทมุนด์เข้าสู่เกมปิดฤดูกาลด้วยการนำบาเยิร์น 2 คะแนน ขอเพียงเอาชนะ ไมนซ์ ต่อหน้ากองเชียร์ที่เวสต์ฟาเล่นได้เท่านั้น โล่แชมป์บุนเดสลีกาที่ได้ชูมันครั้งล่าสุดในยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็จะกลับมาอยู่ในมือของพวกเขาอีกหน
ดอร์ทมุนด์คือทีมล่าสุดที่ได้แชมป์บุนเดสลีกาก่อนที่จะเป็นบาเยิร์น มิวนิค ฟาดยาวๆ สิบปีซ้อน คล็อปป์พาทีมเสือเหลืองเถลิงบัลลังก์ 2 สมัยติดต่อกันในปี 2011 และ 2012
เกมในคืนพรุ่งนี้ไม่ต้องสนใจความเป็นไปที่โคโลญจน์ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 96 กิโลเมตร ถ้าดอร์ทมุนด์ได้สามคะแนนเหนือไมนซ์ ผลคู่แพะบ้า-เสือใต้จะเป็นอย่างไรก็ไม่มีความหมายแล้ว แชมป์จะตกเป็นของพวกเขาแน่นอน
แต่ถ้าไม่ใช่เล่า..
ฟุตบอลบุนเดสลีกาขึ้นชื่อว่าเป็นลีกที่มีความพลิกผันในวันปิดฤดูกาลมากที่สุดลีกหนึ่งนะครับ บางทีอาจเป็นเพราะมันมีจำนวนเกมแค่ 34 นัดไม่ใช่ 38 นัดเหมือนลีกอื่นๆ ก็ได้ ทำให้โอกาสที่ช่องว่างจะถูกฉีกออกไปมีน้อยลง
คิดง่ายๆ ลองเอาพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาลนี้มาเปรียบเทียบก็ได้ครับ สมมติว่าเตะกันแค่ 34 เกมรู้ผลก็เท่ากับว่า อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ซิตี้ วัดแชมป์กันในเกมสุดท้ายเพราะผ่านนัดที่ 33 ทีมปืนใหญ่กับเรือใบสีฟ้ายังเบียดบี้หายใจรดต้นคอกันอยูเลย
นาทีนี้โอกาสคว้าแชมป์ของดอร์ทมุนด์มีมากกว่าบาเยิร์น แต่ เอดิน แทร์ซิช และลูกทีมต้องท่องให้ขึ้นใจเลยว่า ว่าที่แชมป์บุนเดสลีกานั้นหัวทิ่มมานักต่อนักแล้วในเกมสุดท้ายนี่แหละ
เฉพาะแค่ บาเยิร์น มิวนิค ทีมเดียวก็เคยทำกับทั้ง แวร์เดอร์ เบรเมน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ ชาลเก้ 04 ในวีรกรรมกระชากแชมป์เหลือเชื่อในเกมสุดท้ายระดับขึ้นหิ้งเป็นตำนานทั้งนั้น
ฤดูกาล 1985/86 บาเยิร์นรอดตัวจากความพ่ายแพ้ต่อ แวร์เดอร์ เบรเมน ในนัดรองสุดท้ายที่ มิชาเอล คุตซ็อป เพชฌฆาตจุดโทษตีนฉมังของทีมนกนางนวลยิงจุดโทษไม่เข้าทำให้แต้มยังไม่ขาด ทีมเสือใต้ต้องลุ้นให้เบรเมนแพ้สตุ๊ตการ์ทและตัวเองเอาชนะมึนเช่นกลัดบัคในเกมปิดฤดูกาล.. เหมือนตลกร้ายที่มันเกิดขึ้นตามนั้นจริงๆ
แล้วบาเยิร์นก็ยังทำในลักษณะเดียวกันอีก 2 ฤดูกาลซ้อนๆ
ฤดูกาล 1999/2000 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ขอแค่แต้มเดียวเท่านั้นในเกมปิดฤดูกาลที่อุนเตอร์ฮัคคิงก์ แต่ มิชาเอล บัลลัค ทำเข้าประตูตัวเองก่อนแพ้ 0-2 บาเยิร์นที่ทุบเบรเมน 3-1 ปาดหน้าเข้าป้ายไปอีกหน
ขณะที่ฤดูกาล 2000/01 คือการขโมยแชมป์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของบุนเดสลีกาเพราะมันเกิดขึ้นในวินาทีสุดท้ายจริงๆ
แฟนบอลชาลเก้ 04 คงไม่มีใครลืมงานฉลอง 4 นาทีของตัวเองในครั้งนั้นลงได้แน่ ทีมราชันสีน้ำเงินลงสนามด้วยโจทย์ที่ต้องเอาชนะอุนเตอร์ฮัคคิงก์ให้ได้และลุ้นให้บาเยิร์นไปแพ้ที่ฮัมบูร์กเพื่อที่ตัวเองจะได้แชมป์จากผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า
ผลที่เฟลตินส์ อารีน่า เป็นไปตามนั้นจริงๆ ชาลเก้ถล่ม 5-3 ขณะที่อีกสนาม เซอร์เก บาร์บาเรซ ทำประตูสำคัญให้ทีมสิงห์เหนือขึ้นนำเสือใต้ในนาทีที่ 89
แฟนบอลชาลเก้ที่ดูถ่ายทอดสดคู่บาเยิร์นผ่านจอยักษ์บนอัฒจันทร์ไปด้วยวิ่งกรูกันลงมาฉลองเต็มสนาม นาทีนั้นพวกเขาคือแชมป์บุนเดสลีกา
แต่แล้วในนาที 90+4 มัทธีอัส โชเบอร์ นายประตูฮัมบูร์กทำพลาดรับบอลที่เพื่อนส่งคืนหลังทำให้บาเยิร์นได้ฟรีคิกสองจังหวะในเขตโทษ สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก เขี่ยให้ พาทริก อันเดอร์สสัน หวดตูมเดียวจากระยะ 11 หลาส่งบอลฝ่าฝูงคนเข้าไป กระชากโล่แชมป์บุนเดสลีกากลับไปอยู่ที่มิวนิคตามเดิม
นั่นเฉพาะที่บาเยิร์น มิวนิค เคยทำได้อย่างเหลือเชื่อนะครับ มันยังมีเหตุการณ์ดราม่าอื่นๆ ในวันสุดท้ายของบุนเดสลีกาเกิดขึ้นอีก
ฤดูกาล 1991/92 ที่ยังอยู่ในความทรงจำของหลายๆ คน การลุ้นแชมป์เข้มข้นต้องไปตัดสินกันในนัดสุดท้าย แฟร้งค์เฟิร์ต ดอร์ทมุนด์ และ สตุ๊ตการ์ท มีคะแนนเท่ากันก่อนลงเตะนัดปิดฤดูกาล และเป็นทีมม้าขาวที่เข้าเส้นชัยเฉือนแค่ปลายจมูกด้วยผลต่างประตูได้เสียเหนือเสือเหลือง ลูกทะยานโขกของ กีโด้ บุควัลด์ ก่อนหมดเวลา 4 นาทีพาทีมพิชิตเลเวอร์คูเซ่นลูกนั้นถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรของทีมม้าขาวตลอดกาล
ถ้าซีซั่น 1991/92 นั้นว่าข้นแล้ว แปดฤดูกาลก่อนหน้านั้นคือซีซั่น 1983/84 ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่เพราะ สตุ๊ตการ์ท คว้าแชมป์ด้วยผลต่างประตูได้เสียเหนือ ฮัมบูร์ก และ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค..ใช่ครับ ทั้งสามทีมมีคะแนนเท่ากันหลังเสร็จสิ้นภารกิจ 34 เกม
ลองนึกภาพว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล มีคะแนนเท่ากันหลังจบฤดูกาลพรีเมียร์ลีกและซิตี้เป็นแชมป์ด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่าก็ได้ครับ เราไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นในลีกอังกฤษ หรือการลุ้นแชมป์สามทีมในวันสุดท้ายโดยที่ทั้งสามทีมมีคะแนนเท่ากันหมดก่อนลงสนาม ผมก็ไม่เคยเห็นมันเกิดขึ้นมาก่อนเหมือนกัน
บุนเดสลีกาฤดูกาลนี้ยังคงไว้ลายลีกสุดระทึกเหมือนเดิมครับ เพราะได้ลุ้นกันสนุกถึงนัดสุดท้ายในทุกพื้นที่เลย
ดอร์ทมุนด์ กับ บาเยิร์น ในพื้นที่ลุ้นแชมป์
อูนิโอน เบอร์ลิน กับ ไฟร์บวร์ก ในพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เอาก์สบวร์ก สตุ๊ตการ์ท โบคุ่ม และ ชาลเก้ 04 ในพื้นที่หนีตกชั้น
จะมีเรื่องดราม่าไฟลุกเกิดขึ้นเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาไหม หรือว่าทุกอย่างจะผ่านไปตามครรลองอย่างสงบราบรื่น คืนพรุ่งนี้ได้รู้กันล่ะครับ
ตังกุย