พอเห็น เคอร์ติส โจนส์ ออกสตาร์ทตัวจริงเกมลีกต่อเนื่องในฤดูกาลนี้
มันพาให้นึกย้อนถึงประโยคคำพูดที่เขาบอกไว้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
"ผมไม่ได้กังวลเลย ผมไม่สนหรอกว่าเราจะเซ็นสัญญากับใคร"
"ผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ผมยังเชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จกับที่นี่ได้"
"ผมคิดอย่างนั้นจริง ๆ"
ตอนนั้น เมื่อได้ยินก็ว่ามีพลังแล้วนะครับ แต่พอถึงตอนนี้เมื่อได้เห็นสถานะของ โจนส์ ปัจจุบัน
ประโยคคำพูดนั้นมันยิ่งทวีกำลังมากขึ้นไปอีก
.
.
.
โจนส์ คว้าโอกาสช่วงปลายฤดูกาล 2022/23 ได้ดีเอามาก ๆ ลงเล่นต่อเนื่องจนซีซั่นสิ้นสุด
จนกระทั่ง ลิเวอร์พูล ใช้เงิน 145 ล้านปอนด์ตอนซัมเมอร์
อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซโบซไล, วาตารุ เอ็นโด และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ต่างเข้ามาเพื่อเป็นกองกำลังแดนกลางชุดใหม่
มีคนไม่น้อยคาดว่า โจนส์ จะค่อย ๆ หลุดจากทีมไปแบบเงียบ ๆ
แทนที่ความกดดันจะฉุดให้เขายอมจำนน แต่ โจนส์ ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองกล่าว
มันพาให้ฉุกคิดถึงคำพูดที่เขาว่าไว้ตอนเดือนเมษายน
เขาตอบรับความท้าทายการแย่งชิงตำแหน่งจนกลายเป็นคนที่มีบทบาทไม่แพ้ใคร
และเป็นส่วนหนึ่งของความสำคัญใน ลิเวอร์พูล 2.0
.
.
.
โจนส์ ทำหน้าที่ได้ดีตามคำสั่งกับการยืนมิดฟิลด์ฝั่งซ้าย โดยมี โซโบซไล ยืนทางขวา และ แม็ค อัลลิสเตอร์ อยู่ตรงกลาง
ตอนโดนเปลี่ยนตัวออกในเกมชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขาได้รับเสียงปรบมือล้นหลามจากฝูงชนชาวเดอะ ค็อป
โจนส์ โดดเด่นเรื่องการหาพื้นที่เพื่อรับบอลต่อจากคู่เซนเตอร์, ชะลอคู่แข่งได้ดีมาก ๆ จนเกิดภาพที่ฝั่งตรงข้ามต้องหันไปเผชิญหน้ากับคนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ดีกว่า
การผ่านบอลเกมล่าสุด โจนส์ ทำสำเร็จถึง 96% ด้วยจำนวน 49 จาก 51 ครั้ง
เขามีความสร้างสรรค์ในการเล่น แต่การมีส่วนกับการเล่นในจังหวะที่ไม่ได้ครองบอลของ โจนส์ ก็น่าทึ่งเช่นเดียวกัน
เขาเข้าปะทะสำเร็จ 4 ครั้งมากกว่าใครในทีมเกมวันนั้น
ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในลีก 17 นัดติดต่อกัน ซึ่ง โจนส์ ลงเป็นตัวจริง 14 เกม
จาก เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สู่ เคอร์ติส โจนส์
ดาวเตะวัย 22 ปีกลายเป็นเด็กจากอะคาเดมี่ที่เติบโตขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ได้แบบเต็มตัวจริง ๆ
ถึงตอนนี้เขาลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล แตะหลัก 100 นัดไปแล้ว ซึ่งในระยะหลัง ลิเวอร์พูล หาเด็กปั้นแบบนี้ได้ยากมาก
สตีเฟ่น วอร์น็อค (67), มาร์ติน เคลลี่ (62), เจย์ สเปียริ่ง (55) และ จอน ฟลาเนแกน (51)
ทั้งหมดคือเด็กสร้างที่ทะลุขึ้นเล่นทีมชุดใหญ่ แต่ไม่มีใครที่สามารถลงสนามในสีเสื้อแดงเพลิงแตะเลขสามหลักได้สักคน
การที่ โจนส์ ทำแบบนี้ได้ในยุคที่ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์แบบเป็นกอบเป็นกำมันยิ่งเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากขึ้นไปอีก
เส้นทางเริ่มต้นเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่อุปสรรคก็เข้ามาเล่นงานจนแทบหมดกำลังใจ
นับตั้งแต่ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่เกม เอฟเอ คัพ ที่เจอกับ วูล์ฟส์ เมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2019
ตอนนั้น โจนส์ เพิ่งอายุ 17 ปี ก่อนจะแจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ได้อย่างเต็มตัวจริง ๆ ก็ตอนที่ทำประตูชัยสุดสวยช่วยให้ ลิเวอร์พูล ชนะ เอฟเวอร์ตัน บอลถ้วยเอฟเอ คัพ
อาการบาดเจ็บตรงดวงตาที่ได้รับจากการซ้อมตอนฤดูกาล 2021-22 มันกลายเป็นการชะลอพัฒนาการของเขา
ฤดูกาลก่อน โจนส์ ยังมีอาการบาดเจ็บเกี่ยวกับกระดูกหน้าแข้งจนทำให้ความหวังที่จะรีบกลับมาลงสนามต้องพังทลายไปอีก
แล้วในที่สุด เขากลับมาลงตัวจริงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน นัดบุกเจอ เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ตอนเมษายน
จากนั้น โจนส์ ได้ตอบแทนความศรัทธาที่มีต่อตัวเขาชัดเจน
โชคดีที่ตอนนี้เรื่องร้าย ๆ มันผ่านพ้นไปแล้ว
เขามีสภาพร่างกายที่ฟิตเต็มเปี่ยมและมีสุขภาพแข็งแรง รวมถึงเล่นได้ด้วยจังหวะที่ดีและเล่นแบบมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
คล็อปป์ กับสตาฟฟ์พร่ำสอน โจนส์ หนักมาก ๆ ในเรื่องการพาบอลขึ้นหน้าให้เร็วกว่าเดิม
ซึ่งตอนนี้การตัดสินใจในการเล่นจังหวะต่าง ๆ ของเขามันดีขึ้นเยอะ
.
.
.
เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม โจนส์ ทำผลงานได้โดดเด่นกับทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ชุดที่ได้แชมป์ ยูโร ไปครอง
เขาถึงขั้นได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ทั้งรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ
เขาเป็นอัจฉริยะที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตัวเอง
แน่นอน การได้เล่นร่วมกับนักเตะระดับ แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ โซโบซไล มันช่วยเขาเป็นอย่างดีด้วย
การมี 3 กองกลางที่เล่นอย่างมีชีวิตชีวาและมีความคล่องแคล่วสูงช่วยสร้างความแตกต่างได้
นั่นต่างกับฤดูกาลก่อนที่แผงกลางของ ลิเวอร์พูล มักจะแพ้คู่แข่งอยู่บ่อย ๆ
การแข่งขันบนแดนกลาง ลิเวอร์พูล มีความเข้มข้นไม่แพ้แดนหน้าเลย
การให้ โจนส์ ได้เป็นตัวจริงคู่กับ โซโบซไล ที่การันตีตำแหน่งอยู่แล้ว จึงดูเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ
อเล็กซิส ทำได้ดีในการเริ่มสร้างเกมจากแดนหลัง และเขาก็เป็นคนที่ทำผลงานแบบรอบด้านได้ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า กราเฟนแบร์ก จะทำให้ตัวเองเป็นแบ็กอัพชั้นยอดในแผงกลางได้อย่างรวดเร็ว ภายหลังเป็นตัวจริงไป 1 นัดและทำผลงานได้ยอดเยี่ยม รวมถึงการได้ลงเป็นตัวสำรองอีก 2 เกม
วาตารุ เอ็นโด กลายเป็น เจมส์ มิลเนอร์ ของฤดูกาลใหม่ ว่าอีกอย่างคือคนที่จะได้ลงเล่นในช่วง 10 นาทีสุดท้าย อะไรประมาณนั้น
จนกว่าเขาจะมีโอกาสได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมที่อาจจะไม่เป็นเป้าให้คู่แข่งเล่นงาน
คำถามเดียวที่เกิดตอนนี้ยังเป็นเรื่องที่ว่า สเตฟาน บายเซติช จะยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวจริงกับบทบาทหมายเลข 6 หรือไม่
รวมถึงเรื่องที่ว่า ติอาโก้ อัลกันตาร่า จะกลับมาเป็นคนสำคัญได้หรือเปล่า?! แต่ที่จริงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะฟิตอีกครั้งหรือไม่ด้วย
หากพูดถึงสถานการณ์ในระยะกลางนั้นต้องบอกว่ามันยังเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ แต่ถ้าพูดถึงระยะสั้นต้องบอกว่าทีมดูมีความชัดเจนกันแล้ว
ไม่ง่ายหรอกที่ใครจะเบียดแย่งตำแหน่งจาก เคอร์ติส โจนส์
เพราะตัวเขาเองก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกัน
HOSSALONSO