Currywurst - ประตูชัย บราเดนบวร์ก - Berliner Pilsner - เชคพ้อยต์ ชาร์ลี จุดผ่านแดนในยุคสงครามเย็น - กำแพงนั้น ไม่สูงแต่เต็มไปด้วยความเศร้า เป็นอะไรบางอย่างที่ยั่วยวนให้ใครคนนี้ ครุ่นคิดถึงอย่างมีความสุข ระหว่างนั่งรถไฟไฮสปีด จาก เคิล์น (โคโลญจน์) มุ่งหน้าขึ้นไปเมืองหลวง เบอร์ลิน … ถึงแม้จะนานถึงสี่ชั่วโมง นิดๆ ก็ตาม
หลังจากแบ่งคู่, แบ่งเส้นทางติดตามเกม กับ คุณไก่ป่า (อัสสัม บางรัก รุ่น 111) ในรอบน็อคเอ้าต์ ก็ได้เดินทางไกล พอๆ กับวันแรกที่ขึ้นมาจาก มึนเช่น (มิวนิค)
-แวะไปกิน Curry 36 ร้านที่ขายไส้กรอก เคอรีววสท์ เกิน 30 ปี เป็นร้านข้างทาง ยืนกิน ที่กล่าวขานรุ่นสู่รุ่น ยิ่งในยุคโซเชี่ยลแบบนี้ … คุณต้องไปลองกัน
เมืองใหญ่แห่งนี้ เขากิน ไส้กรอกแบบที่อธิบายง่ายๆ ว่า เอาไส้กรอกไปต้มหรือนึ่ง ก่อนเอามาทอด หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วราดด้วยซอสมะเขือเทศ โรยผงกะหรี่ หรือเครื่องเทศอื่นๆ ซึ่งสูตรจะไม่ตายตัวหรอก แต่ละเมือง แต่ละร้าน แคแรคเตอร์ต่างกัน
อย่าง Curry 36 นี่ ซอสจะค่อนข้างเข้มข้น น่าจะเป็นสไตล์เบอร์ลิน — ฟังเสียงคนรู้จักผมที่เคยลองร้านนี้ก็จะถูกปากกัน, แต่ไม่รู้สิ สำหรับผม ไส้กรอกแกง (เรียกเองนะ ไม่รู้คนอื่นเรียกแบบนี้บ้างป่ะ) ที่สถานีรถไฟเคิล์น ร้าน Meister Bock รสชาติเบากว่า ยังเป็นเบอร์ 1 อยู่ดีฮะ !
(อาหารนี่ รสลิ้นแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ)
-ไม่ควรไปถ่ายรูปประตู บราเดนบวร์ก สไตล์นีโอคลาสสิค ในวันแข่งเด็ดขาด ไม่ได้อะไรครับ เพราะเขากลั้นรั้ว ได้แต่พยายามถ่ายไกลหน่อย ได้รูปไม่สวยครับ … ถ้าอยากถ่ายก็เช้าหลังวันแข่ง ฟื้นเร็วๆ หน่อย เข้าไปได้ใกล้ชิด และอาจจะโล่งๆ หน่อย *แต่ไม่รับประกันว่า คนอื่นก็คิดเหมือนกันนะ
แถวนั้นเดินเล่นเพลินเลยนะครับ เดินต่อไปยัง ตึกรัฐสภา ไรชส์ทาค (Reichstag Building) ซึ่งในช่วงยูโรนี่ สวนสาธารณะใหญ่ติดกับอาคารที่เคยถูกวางเพลิงเสียหายหนัก จนปล่อยร้างนานกว่า 4 ทศวรรษ แล้วพอรวมประเทศเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1990 นักสถาปนิกคนดังชาวอังกฤษ นอร์แมน ฟอสเตอร์ นำทีมมาบูรณะ จัดทำเป็นแฟนโซน ไว้ให้สปอนเซอร์ทำกิจกรรม และมีจอยักษ์ เชียร์บอลร่วมกันฮะ
*ถึงบรรทัดนี้ก็คิดนิดนึง ท่านบารอน ฟอสเตอร์ ณ เธมส์ แบงค์ ผู้ออกแบบ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม และ ตึกแตงกวาดอง The Gherkin ชื่อไม่เป็นทางการ แต่คนรู้จักกว่า ในเขตซิตี้ ออฟ ลอนดอน … ไม่ฝากผลงานเด่น ไว้ที่เมืองเด่นของโลก เมืองไหนบ้างครับ แฮ่!
-ชอบอะไรหลายอย่าง โคโลญจน์ > เบอร์ลิน ไปเสียแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะคิดแบบนี้นะครับ, เมื่อก่อนมาเยือน เบอร์ลิน ก็รู้สึกตื่นเต้น กับความใหญ่โต กับสถานที่แลนด์มาร์ค ต่างๆ
เข้าใจได้ว่าเดี๋ยวนี้เมืองใหญ่ จะต้องเห็น คนไร้บ้าน จับจองที่เยอะแยะไปหมด, คนเดินขอตังค์ แม้แต่คนหนุ่ม รูปร่างยังทะมัดทะแมงอยู่เลย
แต่ไม่ชอบมากๆ ก็คือ กลิ่นฉี่ ครับ น้องๆ ปารีสเลยนะเนี่ย!
เข้าเรื่องในสนามทักทีนายโจ ฮ่า … ก็ไม่มีอะไรมากครับ หลังเข้าไปนั่งใน โอลิมปิกชะตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน ชม สวิตเซอร์แลนด์ เขี่ยแชมป์เก่า อิตาลี ตกรอบไปแล้ว ;
1.)ทีมไม่ลงตัว < ทีมลงตัว
สวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งใน “ทีมรอง” ที่ช่วยให้ยูโรหนนี้ สนุกสนานมากขึ้น เปลี่ยนสตาร์ตติ้ง ไลน์- อัพ แค่ 1 ราย แถมภาคบังคับด้วย
ซิลวาน วิดเมอร์ (สโมสรไมนซ์ 05) วิงแบ๊คขวา โดนแบน เลยเลือกมิดฟิลด์ รูเบน วาร์กาส (สโมสรเอาส์บวร์ก เล่นในเยอรมัน อีกคน) เสียบแทน
และไม่ใช่เป็นการเสี่ยงแต่อย่างใดนะครับ วาร์กาส นี่ เป็นตัวจริงใน 2 นัดแรก ส่วนเกมกับเยอรมัน ที่สวิสเกือบจะชนะ และเป็นแชมป์กลุ่มเอ ก็เปลี่ยนตัวลงมาเล่นนานนาทีอยู่ (ดูเส้นทางแล้ว สวิส บอกเป็นที่สองน่ะดีแล้ว ขอบคุณ นิคลาส ฟึลครู๊ก นะจ้ะ)
ปรากฎ รูเบน วาร์กาส แอสซิสต์ 1 ลูก, ยิงเองสวยๆ วินาที 27 ของครึ่งหลัง มีส่วนเต็มๆ กับชัยชนะ 2-0 แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ไม่มีใครแย่งครับ
หันไปดู อิตาลี แม้จะมีการพักแข้งของ เซ็นเตอร์แบ๊คหนุ่มที่เพิ่งติดทีมชาติ แต่แจ้งเกิดในทัวร์นาเมนต์นี้ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ และเห็นว่าแบ๊คซ้ายจอมรุก เฟเดริโก ดิมาร์โก้ ไม่สมบูรณ์ … การตัดสินเปลี่ยนทีมจากนัดก่อนถึง 6 ราย นั้น มันก็แปลกแปลกไปนิดป่ะ ไม่ใช่เฟรนด์ลี่ แม็ตช์ สักกะหน่อย
ตกรอบครั้งนี้ คนแรก หัวหน้าโค้ช ลูเซียโน่ สปัลเลตติ รับไปก่อนเลย เต็มเต็ม, เห็นข้อมูลบอกว่า นับตั้งแต่เกมสเปน สปัลเลตติ ไม่มีใช้ผู้เล่นชุดเดียวกันเกิน 45 นาทีเลย
จากนั้นผู้เล่น ไม่ว่าจะสับสนกับแท็คติกโค้ช เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหรือเปล่า แต่เดี่ยวนี้ คุณก็ต้องคุ้นเคยกันอยู่แล้ว กับการใช้หมากโน้น หมากนี้ เปลี่ยนตลอดระหว่างเกม ต้องยอมรับว่า เล่นไม่ได้อย่างมาตรฐานที่ อิตาลี ควรจะเป็น เล่นแย่มากๆ
เกมรับแย่ โดนเจาะง่ายๆ น่าจะโดนมากกว่า 2 ประตู และต่อให้ คาลาฟิออรี่ เล่นได้ เจอการต่อบอลของสวิส ก็ไม่น่าจะเอาอยู่หรอกครับ
เกมบุกยิ่งแย่ใหญ่ เมื่อสถิติทางการจาก ยูเอฟ่า ขึ้นว่า นัดนี้ อัซซูรี่ มีโอกาสยิงตรงกรอบแค่ครั้งเดียว และการพยายามเข้าทำทั้งหมด เป็นรอง 9 ต่อ 16
2.)กรานิต ชาก้า ที่น่าทึ่ง
ถ้าจะให้คะแนนความสามารถเนี่ย บางที ไม่ต้องให้คะแนนพวก นายทวาร ยานน์ ซอมเมอร์ เหล่ากองหลัง ฟาเบียง แชร์, มานูเอล อาคันจี ก็ได้นะ เพราะไม่ค่อยเจอการทดสอบ ฮ่า ..
แต่ในขณะที่เพลิดเพลินกับเกมรุก แบบเซอร์ไพรส์ของทีมนาฬิกานั้น ใครคนนี้ก็จับจ้องไปที่ อดีตกัปตันอาร์เซน่อลในช่วงเวลานึง กรานิต ชาก้า ฮะ
ถ้ามี ชาก้า อยู่ในทีมมิเกล อาร์เตต้า ฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซน่อลจะเพิ่มพลัง และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้หรือเปล่า … ไม่มีใครบอกได้
ที่บอกได้คือ การเลือกย้ายออกจากนอร์ธ ลอนดอน แล้วมาเป็นตัวหลัก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จนได้ดับเบิ้ลแชมป์ประวัติศาสตร์ ไร้พ่ายใน บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล นั้น เลือกทางเดินได้ซู้ดยอดมาก
และในเกมกับสวิส ผมก็รู้สึกว่า ชาก้า เล่นได้ “ซู้ดยอด” จริงๆ นะครับ
เข้าหนักแบบฉลาด ควบคุมจังหวะของเกม จ่ายช่องสวยๆ ทุกอย่างสามารถหาได้จากจอมทัพเชื้อสายแอลเบเนีย คนนี้ ..
และบางครั้ง เราก็รู้สึกว่า มิดฟิลด์อังกฤษ ดู กรานิต ชาก้า เล่นก็พอ
ไม่ต้องวิ่งพล่าน แต่ขอให้เคลื่อนทีเป็น
เล่นช้าก็เล่นนิ่งๆ จ่ายบอลเนี้ยบ รู้ว่าควรจะทำยังงัยกับบอล
ไม่น่าเชื่อนะครับ เกมที่ เบอร์ลิน ผมจะมีความสุขกับการจับจ้องดูการกำกับเกม ของ ซาก้า ที่ช่วงเวลากับอาร์เซน่อล มีทั้งสุขและเศร้า ไปพร้อมๆ กัน , ภาพที่โดนแฟนตัวเองโห่นั้น ยังจำได้ติดตาครับ
3.)สุดท้ายเป็นแฟนอิตาลี ก็ยังดีกว่า สิงโตคำราม หรือเปล่าหล่ะ ..
สเปน (แชมป์ปี 2012), โปรตุเกส (แชมป์ปี 2016) ไม่มีใครป้องกันแชมป์ได้ คราวนี้ อิตาลี ก็เช่นกัน ถือเสียว่า ทุกอย่างก็มีวงจรของมัน
และถ้าคุณดูความสำเร็จที่ผ่านมาของ อิตาลี เมื่อได้แชมป์ แล้วก็มักจะเห็นความตกต่ำตามมา
ตั้งแต่ตอนผมเริ่มต้นดูบอลใหม่ๆ เลย เห็น เอ็นโซ่ แบร์ซอต เอาปีกซ้ายไปเล่นปีกขวา, ปีกขวาไปเล่นปีกซ้าย เคลาดิโอ เจนติเล่ กระชากเสื้อ ไล่เตะ ดีเอโก้ มาราโดน่า ถ้าวันนั้นมี VAR ไม่เหลือครับ ! อัซซูรี่พอหลังชูถ้วยเวิลด์ คัพ เอสปันญ่า 1982 หลังจากนั้นก็ฟอร์มตกไปนาน
และเอาล่าสุด เป็นแชมป์ยูโร 2000 แต่ไม่ได้ไปเล่นบอลโลกที่กาตาร์ รอบคัดเลือกเจอเพื่อนบ้านอย่าง สวิสนี่แหล่ะ ยันเสมอ 2 นัด และแซงขึ้นไปเป็นแชมป์กลุ่มเฉย
ไม่รู้ว่า อังกฤษ ที่ในรอบแรกฟอร์มก็กระท่อนกระแท่นเช่นกัน จะตามตกรอบ หรือมีดวง ทะลุไปเรื่อยๆ จากเส้นทางที่ดูจะเป็นใจอยู่บ้าง
ทว่าที่ผมอยากบอกตอนนี้ ก็คือว่า ได้ชูถ้วยแล้วตกต่ำไปหลายปี ก่อนจะกลับมาชูถ้วยอีกครั้ง ก็คงจะดีกว่า อิงแลนด์ หล่ะกระมัง ที่มักจะฟอร์มดีในรอบคัดเลือก แต่ “ล้มเหลว” ร่ำไป ในรอบสุดท้าย
สำหรับผม, ทีมอย่าง อังกฤษ ถ้าไม่เป็นแชมป์ ก็ถือว่า ล้มเหลว หมดนะฮะ นะฮะ
ลิตเติ้ลโจ