ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม เหลืออีกหนึ่งนัดเราก็จะได้ทราบว่าชาติใดบ้างที่จะทะยานเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ (16 ทีม) โดยตอนนี้มี 3 ทีมที่การันตีแล้วแน่นอน
ยูโร 2024 เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม โดยกฎการเข้ารอบต่อไปคือเอา 2 อันดับแรกของแต่ละกลุ่ม (6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม) ตีตั๋วเข้ารอบน็อกเอาท์ และนำอันดับ 3 ที่ดีที่สุดของแต่ละกลุ่ม 4 ทีมแรกเพื่อเข้ารอบต่อไป ซึ่งรวมแล้วจะมี 16 ทีม
กลุ่ม A
เยอรมนี เจ้าภาพการันตีเข้ารอบแล้วแน่นอน หลังซิวชัยสองเกม และต้องการอีกแต้มเดียวในนัดเจอ สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อยึดอันดับ 1 ของกลุ่ม
อีกสามทีมที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างหนัก สวิตเซอร์แลนด์ การันตีการจบอันดับ 1 ใน 3 ของกลุ่มแล้ว เหลือแค่ว่าจะรักษาพื้นที่สองอันดับแรกเพื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ได้หรือไม่
ฝั่ง สกอตแลนด์ กับ ฮังการี ยังมีลุ้นที่จะจบอันดับ 3 ซึ่งทั้งคู่ต้องฟาดฟันกันในเกมสุดท้าย
กลุ่ม B
สเปน จองพื้นที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้ว หลังคว้าชัยรวดเก็บได้ 6 แต้มเต็ม และการันตีจบแชมป์กลุ่ม
ทีมที่เหลืออย่าง อิตาลี, อัลแบเนีย และ โครเอเชีย ต่างยังไม่มีชาติใดที่การันตีจบอย่างอย่างอันดับ 3 ซึ่งทัพอัซซูรี่ จะเจอ ตราหมากรุก โดยขอแต้มเดียวก็จเข้ารอบทันที ส่วน อัลแบเนีย พบงานหินชน สเปน
กลุ่ม C
อังกฤษ ที่แม้ฟอร์มจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ แต่พวกเขาก็การันตีการจบ 3 อันดับแรกของกลุ่มไปแล้ว และจะเข้ารอบทันทีหากมีอย่างน้อยแต้มนึงในเกมเจอ สโลวีเนีย
ส่วนทีมที่เหลืออย่าง เดนมาร์ก, สโลวีเนีย และ เซอร์เบีย ต่างต้องลุ้นชิงชัยเพื่อโอกาสผ่านเข้ารอบต่อไป
กลุ่ม D
กลุ่มนี้ มี 3 ทีมที่การันตีการจบ 3 อันแรกไปแล้วนั่นคือ เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, ออสเตรีย และปล่อยให้ โปแลนด์ เป็นทีมแรกของทัวร์นาเมนต์ที่ไม่มีสิทธิ์ลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม (เนื่องจาก เฮด-ทู-เฮด เป็นรอง ออสเตรีย)
ฉะนั้น เนเธอร์แลนด์ ขออย่างน้อยแต้มเดียวในเกมที่จะเจอ ออสเตรีย ก็จะการันตีการผ่านเข้ารอบต่อไป ส่วน ฝรั่งเศส ก็ขออย่างน้อยแต้มเดียวเช่นกันเพื่อทะยานสู่รอบน็อกเอาท์
กลุ่ม E
กลุ่มนี้กลายเป็นกลุ่มที่ต้องลุ้นกันสุดมันส์ เมื่อทุกทีมต่างมีแต้มเท่ากันที่ 3 คะแนน และหากใครคว้าชัยได้ในเกมสุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม ก็จะผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ทันที
อย่างไรก็ตาม มันมีสิทธิ์ที่ทั้ง 4 ทีมจะมีแต้มเท่ากันทั้งหมด โดยกฎการเรียงอันดับมีดังต่อไปนี้ (เรียงจากความสำคัญมากสุดไปน้อยสุด)
1. แต้มที่ทำได้โดยนับเฉพาะจากเกมที่เป็นการเจอกันของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน
2. ผลต่างประตูได้เสียจากเกมที่เป็นการเจอกันเองของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน
3. จำนวนประตูที่ทำได้จากเกมที่เป็นการเจอกันเองของทีมที่มีคะแนนเท่ากัน
4. ในกรณีที่ยังมีทีมที่ตัดสินอับดับไม่ได้ จะเอาเกณฑ์ข้อ 1-3 มาใช้เฉพาะกับเกมของทีมที่ยังเป็นประเด็นอยู่ (ยกตัวอย่างเช่น ตอนแรกทีม a ทีม b ทีม c มีแต้มเท่ากัน แต่ทีม a เข้ารอบแล้วเมื่อใช้เกณฑ์ข้อ 1-3 ส่วนทีม b กับทีม c ต้องมาตัดสินอันดับกันใหม่โดยดูเฉพาะเกมที่ 2 ทีมนั้นเจอกันเอง ไม่ต้องสนใจเกมที่ทีม a มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป) โดยหากยังตัดสินไม่ได้อีก จะดูที่เกณฑ์ข้อ 5-9
5. ผลต่างประตูได้เสียจากทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม
6. ประตูได้จากทุกนัดในรอบแบ่งกลุ่ม
7. ตัดสินผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ (ใช้เฉพาะกรณีที่ยังมี 2 ทีมที่ตัดสินอับดับไม่ได้ หากมีมากกว่า 2 ทีมจะไม่ใช้เกณฑ์นี้
8. คะแนนวินัยที่นับจากใบเหลือง ใบแดง โดยเมื่อมีนักเตะโดนใบเหลืองจะถือเป็น 1 แต้ม เมื่อมีนักเตะโดนใบแดงจะถือเป็น 3 แต้ม ไม่ว่าจะเป็นใบแดงโดยตรงหรือจากการโดนใบเหลือง 2 ใบก็ตาม และเมื่อมีนักเตะโดนใบเหลือง 1 ใบ ตามด้วยคนเดิมโดนใบแดงจะถือเป็น 4 แต้ม ทั้งนี้ ทีมที่มีแต้มน้อยกว่าจะถือว่าดีกว่า
9. วัดจากอันดับตารางคะแนนโดยรวมในรอบคัดเลือก ทีมที่มีอันดับโดยรวมในรอบคัดเลือกดีกว่าจะถือว่าได้อันดับดีกว่าในรอบแบ่งกลุ่ม ยกเว้นว่าเจ้าภาพจะมีเอี่ยวในกรณีนี้ด้วย โดยหากเป็นแบบนั้นต้องทำการจับสลากแทน
กลุ่ม F
โปรตุเกส การันตีจบอันดับหนึ่งของกลุ่มไปเรียบร้อยแล้ว หลังซิวชัยเหนือ ตุรกี
โดยอีกสามทีมคือ ตุรกี, สาธารณรัฐเช็ค และ จอร์เจีย ต้องไปลุ้นนัดสุดท้าย ซึ่ง ตุรกี ต้องวัดกับ เช็ค หากเสมอกัน ตุรกี จะเข้ารอบต่อไป ขณะที่ จอร์เจีย จำเป็นต้องคว้าชัยเหนือ "ฝอยทอง" ให้ได้เท่านั้น
ทีมอันดับสามที่ดีที่สุด
ณ ตอนนี้ ทีมที่อยู่อันดับตามในแต่ละกลุ่ม ได้แก่ ออสเตรีย (3 คะแนน), สโลวาเกีย (3 คะแนน), สโลวีเนีย (2 คะแนน), อัลแบเนีย (1 คะแนน), เช็ค (1 คะแนน) และ สกอตแลนด์ (1 คะแนน)