ทั้ง 24 ชาติลงสนามกันครบถ้วนทั้งหมดแล้วนะครับในศึกยูโร 2024 คืนนี้ก็จะเป็นการเริ่มต้นแมตช์ที่ 2 กันแล้ว
ผมคิดว่าบรรยากาศของการแข่งขันตลอด 5 วันที่ผ่านมานั้นผ่านฉลุย เป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีสีสันสมกับที่เจ้าภาพอยากให้เป็น
ฟิลิปป์ ลาห์ม อดีตกัปตันทีมอินทรีเหล็กชุดแชมป์โลก 2014 ที่รับบทบาทเป็นผู้อำนวยการในงานนี้บอกเอาไว้ว่าหลังจากถูกโควิดเล่นงานในคราวก่อน เยอรมันอยากให้ ยูโร 2024 เป็นทัวร์นาเมนต์แห่งความ Enjoy
ชวนทุกคนมาสนุกด้วยกันกับเทศกาลใหญ่ของชาวลูกหนังยุโรป เราเห็นมันได้ตั้งแต่สีสันที่ใช้ในโลโก้เป็นการนำสีธงชาติของทั้ง 24 ทีมมาวางปะปนกัน
กองเชียร์เข้าชมเกมกันเต็มสนามในทุกนัดก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม เพราะเยอรมันเองก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่แฟนบอลเข้าสนามกันมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บุนเดสลีกามีผู้ชมเฉลี่ยต่อเกมมากที่สุดในยุโรป (39,500 คนต่อเกม) นั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับเพราะยึดตำแหน่งมาหลายสมัย แต่สถิติผู้ชมเฉลี่ยในลีกาสองของพวกเขาที่สูงเป็นอันดับ 4 ของยุโรป (29,100 คนต่อเกม เป็นรองแค่ บุนเดสลีกา พรีเมียร์ลีก และ กัลโช่ เซเรีย อา) นั่นต่างหากยืนยันกับเราได้ชัดเจนในเรื่องนี้
การจัดการที่ยอดเยี่ยมของเจ้าภาพ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน มันถูกประกอบกันให้สมบูรณ์แบบด้วยเกมที่มีคุณภาพและสนุกเร้าใจ
12 เกมที่ผ่านไปของยูโร 2024 ทำให้เรายิ่งสนุก แค่นัดเปิดสนามก็ตะบันกัน 6 ประตูเข้าไปแล้ว ผ่านไป 4 เกมแรกก็ซัดกันอุตลุด 16 ลูก เฉลี่ยคู่หนึ่งรัวกันนัว 4 ประตู จนคู่หลัง ๆ อาจจะเริ่มคิดได้ว่ายิงกันเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน เพลา ๆ ลงหน่อยดีกว่า (ฮา)
-มีประตูเกิดขึ้นทั้งหมด 34 ลูกตลอด 12 เกมแรก เฉลี่ย 2.83 ประตูต่อเกม
-เกมที่มีการทำประตูกันมากที่สุดคือ เยอรมัน ถล่ม สกอตแลนด์ 5-1 ขณะที่เกมยิงกันน้อยที่สุดมี 3 นัด อังกฤษ ชนะ เซอร์เบีย 1-0 เบลเยียม แพ้ สโลวาเกีย 0-1 และ ฝรั่งเศส ชนะ ออสเตรีย 1-0
-เซอร์เบีย เบลเยียม ออสเตรีย ร่วมด้วย โครเอเชีย และ ยูเครน คือ 5 ทีมที่ทำประตูไม่ได้ หมายความว่ามีถึง 19 จาก 24 ทีมที่ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จโดยมีเยอรมันซัลโวได้มากที่สุด 5 ประตู
-34 ประตูที่เกิดขึ้น มาจากนักเตะ 34 คน.. ยิงไม่ซ้ำหน้ากันเลย
-มีการทำเข้าประตูตัวเอง 3 ลูกคือ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ของเยอรมัน มักซิมิเลียน โวเบอร์ ของออสเตรีย และ โรบิน ฮรานัช ของสาธารณรัฐเช็ก
-มีประตูในช่วงทดเวลา 4 ลูกจาก เอ็มเร่ ชาน (เยอรมัน) นาที 90+3 (เยอรมัน ชนะ สกอตแลนด์ 5-1).. บรีล เอ็มโบโล่ (สวิตเซอร์แลนด์) นาที 90+3 (สวิตเซอร์แลนด์ ชนะ ฮังการี 3-1).. เคเรม อัคตูร์โคกลู (ตุรกี) นาที 90+7 (ตุรกี ชนะ จอร์เจีย 3-1) และ ฟรานซิสโก้ คอนไซเซา (โปรตุเกส) นาที 90+2 (โปรตุเกส ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 2-1)
-ประตูของ คอนไซเซา จึงไม่เพียงเป็นประตูสุดท้ายที่เกิดขึ้นในเกมแรกของทั้ง 24 ทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูชัยช่วงทดเวลาลูกแรกในทัวร์นาเม้นต์นี้ด้วย
--------------------
ผมลองจัดสิ่งที่เป็น "ที่สุด" ประจำเกมแรกของศึกยูโรคราวนี้สนุก ๆ ลองมาแชร์กันนะครับว่าคิดเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
-เข้าตาที่สุด: เยอรมัน
คำว่า "เข้าตา" สำหรับผมมีความหมายสอดคล้องกับความเป็นตัวเต็งครับ คือเป็นทีมที่ทุกคนจับตามอง จึงอยากเห็นว่าจะเล่นได้ดีแค่ไหนเพราะฉะนั้นจึงอยู่ในกรอบของทีมใหญ่โดยพื้นฐาน
ในบรรดาทีมใหญ่ด้วยกัน เยอรมัน ที่ปูพรมไล่ถล่ม สกอตแลนด์ แบบยิงแล้วยิงอีก ยิงแล้วเอาอีก ยิงแล้วไม่ยอมเลิก แฟนบอลได้สนุกไปกับทัศนคติเปิดเกมลุยต่อเนื่องไม่มียั้งไม่มีกั๊ก ยิงกันจนถึงช่วงทดเวลานั่นเลย
เยอรมันจึงเป็นทีมที่เข้าตาที่สุดแบบนอนมา ทั้งวิธีการเล่น ความกระฉับกระเฉง และชัยชนะถล่มทลาย
------------
-น่าผิดหวังที่สุด: อังกฤษ
โครเอเชีย กับ ยูเครน ที่แพ้ขาดลอย 0-3 อยู่ในข่ายน่าผิดหวัง แต่รายของ โครเอเชีย แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ที่อยู่ในระดับไม่ห่างจาก สเปน มากนัก พวกเขาแพ้ทีมกระทิงดุที่ความเด็ดขาด ขณะที่ ยูเครน ดูซึมกว่า ได้แต่ครองบอลแต่หาวิธีการพังประตู โรมาเนีย แทบไม่ได้เลย
กระนั้นผมยังมองว่าทีมชาติอังกฤษน่าผิดหวังกว่ายูเครน ส่วนหนึ่งเพราะทีมสิงโตคำรามลงสนามด้วยความหวังและการจับตามองที่มากกว่า ทั้งยังเป็นเต็งหนึ่งจากสื่อหลายสำนัก แต่วิธีการเล่นและความกระเสือกกระสนที่โดน เซอร์เบีย กดหนัก ๆ อยู่พักใหญ่ ๆ จนต้องประคองเอาตัวรอดเก็บ 3 คะแนนแบบเต็มกลืนชนิดเสียงวิจารณ์ดังขรมก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้ทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต รับหัวข้อนี้ไป
------------
-พลิกล็อกที่สุด: เบลเยียม 0-1 สโลวาเกีย
ทีมใหญ่ ๆ ระดับตัวเต็งที่มีศักยภาพไปถึงแชมป์ล้วนกำชัยกันได้ถ้วนหน้า บางทีมฟอร์มดี บางทีมฟอร์มติด ๆ ขัด ๆ แต่ก็ยังเก็บ 3 คะแนนตุนไว้ได้
มีเพียง เบลเยียม ทีมเดียวที่ไม่ชนะ และยังร้ายแรงถึงขั้นแพ้เป็นประเดิม ก่อนเกมนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ล้วนชี้ไปที่ทีมปีศาจแดงแห่งยุโรปที่แม้จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคโกลเด้นเจเนอเรชั่นแต่ก็ยังมีมาตรฐานที่เหนือกว่า ทั้งยังมีนักเตะชั้นนำหลายคน ทว่าสุดท้ายกลับไม่มีคะแนนติดมือ
------------
-สนุกที่สุด: ตุรกี 3-1 จอร์เจีย
มีเกมสนุก ๆ มากมายใน 5 วันที่ผ่านมา คู่ ฝรั่งเศส-ออสเตรีย อาจจะมีเพียงประตูเดียวแต่ก็เร้าใจตื่นเต้นตลอด 90 นาทีแถมหวดกันดุถึงได้เลือด ฮอลแลนด์แซงชนะโปแลนด์ก็เข้มข้นไม่เบา หรือเกมสุดท้ายของนัดแรกที่ โปรตุเกส เบียด สาธารณรัฐเช็ก ก็ดราม่าสุด ๆ
แต่ผมขอยกเกมที่สนุกที่สุดในนัดแรกให้คู่ระหว่าง ตุรกี กับ จอร์เจีย คู่นี้หวดกันมันหยดโดยเฉพาะหลังจากที่ จอร์เจีย ทีมน้องใหม่เริ่มตั้งหลักได้ช่วงกลางครึ่งแรกและเล่นแบบไม่กลัวทีมไก่งวงที่ชื่อชั้นเหนือกว่า ยิ่งในครึ่งหลังเปิดฉากบุกเข้าใส่กันแบบเอ็งทีข้าที มีช่วงโหมกระหน่ำใส่อีกฝ่าย มีโอกาสทำประตูกันมากมาย มีลูกยิงสุดสวยเกิดขึ้น
ช่วง 5 นาทีสุดท้ายไปจนถึงทดเวลาบีบหัวใจคนดูที่สุดเมื่อจอร์เจียลุยแหลกแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมก่อนโดนสวนตูมเดียวจบเห่แพ้ไป 1-3 แบบที่ผู้ชมลุกขึ้นปรบมือให้ทั้งโลก ใช้คำว่าโคตรมันได้เลย
------------
-น่าเบื่อที่สุด: อิตาลี 2-1 แอลเบเนีย
เกมของทีมชาติอังกฤษที่ชนะเซอร์เบียถือว่าน่าเบื่ออยู่บ้างในฝั่งแฟนบอลอังกฤษ แต่ถ้ามองในมุมของกองเชียร์เซิร์บมันไม่น่าเบื่อเลยเพราะทีมเล่นแบบได้ลุ้นตีเสมอ
เกมที่ อิตาลี แซงชนะ แอลเบเนีย น่าเบื่อกว่าสำหรับผม เพราะหลังจากความเข้มข้นช่วง 16 นาทีแรกที่ซัดกันนัว 3 ประตูแล้ว ความเร้าใจของเกมก็ค่อย ๆ เทลาดลงไปเรื่อย ๆ ด้วยมาตรฐานของ แอลเบเนีย ยังห่างจากแชมป์เก่ามากเหลือเกิน เล่นอย่างไรก็แทบมองไม่เห็นโอกาสยิงตีเสมอ
อิตาลี เล่นแบบปิดประตูความเสี่ยง ไม่โหม ไม่เปิดหน้าลุยบ้าเลือด ประคองเกมไปเรื่อย ๆ มีจังหวะก็ทำ ไม่มีก็ไม่เร่ง เกมในครึ่งหลังจึงชวนง่วงเป็นที่สุด ยิ่งเมื่อคิดตามเวลาบ้านเรามันคือช่วงตี 3 ถึงตี 4 ด้วย จึงไม่แปลกว่าทำไมแฟนบอลสยามถึงบ่นกันอุบ
------------
-ประทับใจที่สุด: โรมาเนีย
โรมาเนียไม่ได้เป็นทีมที่ถูกจับตามองแต่พวกเขาสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นโดยทั่วจริง ๆ
ชัยชนะ 3-0 เหนือยูเครนนั้นสวยงามแน่นอน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือการเล่นในสนามที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ มั่นใจ และดุดัน บีบเกมสูงแย่งการครองบอลตั้งแต่แดนบนในแบบทีมใหญ่ รุกดีรับแน่นช่วยกันเล่น เกมโต้ฉูดฉาดแม่นยำและรวดเร็ว ใช้จังหวะไม่เยอะ ใช้โอกาสไม่เปลือง แต่ละประตูคมกริบเด็ดขาดจากหลายรูปแบบ
เป็นชัยชนะแน่น ๆ โรมาเนียมาแบบจัดหนักจริง ๆ ในเกมแรกนี้
------------
-โดดเด่นที่สุด: เอ็นโกโล่ ก็องเต้
มีนักเตะหลายคนทำผลงานได้ดีในเกมแรกนี้
ฟาเบียน รุยซ์ กองกลางทีมชาติสเปนยิง 1 จ่าย 1 ให้ทีมกระทิงดุถล่มโครเอเชีย ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ กับ จามาล มูเซียล่า ก็ลากเลื้อยมันสะเด็ดให้เยอรมันเจ้าภาพ หรือ โกดี้ คักโป ก็ไฉไลเหลือเกินกับทีมชาติฮอลแลนด์
แต่ผมอยากจะยกตำแหน่งผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดให้กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ติดทีมชาติฝรั่งเศสอีกครั้งแบบที่หลายคนไม่คาดคิด เขาหายไปจากการพูดถึงหลังตัดสินใจย้ายไปเล่นในลีกซาอุดีอาระเบีย
แน่นอนฝีเท้าของเขาไม่มีใครสงสัยอยู่แล้ว แต่การห่างหายจากแสงสปอตไลต์ไปนาน อายุที่มากขึ้นในวัย 33 ปี และการเล่นในลีกซาอุฯ ก็ทำให้ไม่มีใครจับตามองเขาจริง ๆ .. จนกระทั่งวันที่เตะกับออสเตรีย
ในวันนั้นเราได้เห็นก็องเต้คนเดิม ก็องเต้ที่เต็มไปด้วยพลัง วิ่งพล่านไปอยู่ทุกที่ คำกล่าวที่ว่าก็องเต้ 8 ปอดบ้าง 10 ปอดบ้างแทบไม่ผิดไปจากความรู้สึกที่เรามีต่อเขาเลย แค่จังหวะสปรินต์จากกลางสนามมาช่วยสกัดลูกหลุดเดี่ยวท้ายเกมก็คุ้มค่าต่อการรับชมแล้ว
------------
-งงที่สุด: เฟเดริโก ดิ มาร์โก
เป็น "ที่สุด" หัวข้อพิเศษที่ตั้งให้ เฟเดริโก ดิมาร์โก โดยเฉพาะ แบ๊กซ้ายทีมชาติอิตาลีทำในสิ่งที่แฟนบอลงงไปทั้งโลกเมื่อทุ่มบอลไกลให้เพื่อนที่อยู่ในเขตโทษตัวเอง
อาจจะเป็นเพราะความเผลอเรอที่เกมเพิ่งจะเริ่มเตะได้แค่ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ได้ที่ทำให้เขาชะล่าใจทำอย่างนั้น ลูกทุ่มจากข้างสนามตำแหน่งแบ๊กซ้ายของเขาจึงถูก เนดิม ไบรามี่ ของแอลเบเนียฉกไปตะบันเข้าเสาแรกตั้งแต่ 23 วินาทีของเกม กลายเป็นประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปไปเลย
------------
-น่าเห็นใจที่สุด: โรเมลู ลูกากู
ช่วงเวลาที่ เบลเยียม พยายามโหมบุกเพื่อตีเสมอ สโลวาเกีย เราได้เห็นความมุ่งมั่นของนักเตะเบลเยียมแต่ละคน พวกเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่อยากแพ้ตั้งแต่เกมแรก โรเมลู ลูกากู ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
หัวหอกร่างใหญ่พยายามช่วยทีมทุกอย่าง วิ่งทำทาง บังบอล เข้าปะทะแย่งบอล หาโอกาสทำประตู
เขาทำมันได้สำเร็จครั้งแรกแต่ถูก VAR จับล้ำหน้า.. ไม่เป็นไร ตั้งหลักใหม่พยายามกันต่อ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ทุ่มเทสุดตัว
แล้วเขาก็มาทำมันได้อีกครั้งในที่สุดจากการตวัดยิงลูกผ่านของ หลุยส์ โอเปนด้า เข้าประตูอย่างสุดสวยช่วงท้ายเกม ยังมีเวลาเหลือพอให้ยิงแซงด้วยซ้ำ แต่แล้ว VAR ก็มาริบประตูของเขาคืนอีกครั้งด้วยจังหวะแฮนด์บอลของ โอเปนด้า ที่ไม่เพียงภาพช้าจะชัดเจนเท่านั้น แต่ยังแถมสัญญาณคลื่นสั่นสะเทือนจากชิพที่ฝังอยู่ในลูกบอล Fussballliebe ยืนยันอีกเสียง
เบลเยียมแพ้ ลูกากูแพ้ เขายิงไม่เข้าทั้งในจังหวะปกติและโดน VAR ริบ 2 ประตู กลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกในประวัติศาสตร์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ถูก VAR ริบประตูคืนมากกว่าหนึ่งครั้งในเกมเดียว
------------
-ประตูสวยที่สุด: อาร์ด้า กือแลร์ (ตุรกี)
เกมแรกของทุกทีมในยูโร 2024 เต็มไปด้วยประตูสวย ๆ น่าตื่นตาตื่นใจ
นิคลาส ฟึลครุก กองหน้าเยอรมันตะบันเด็ดดวงใส่ตาข่ายสกอตแลนด์.. ฟาเบียน รูอิซ กองกลางสเปนพลิ้วหลบผู้เล่นโครเอเชียก่อนซัดหักข้อเสียบโคนเสา
นิโคเล สตานชู วิ่งเข้าหวดจังหวะเดียวแบบไม่จับส่งบอลลอยเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลในเกมที่โรมาเนียถล่มยูเครน หรือจะเป็นลูกตั้งป้อมวอลเล่ย์สวนตูมเดียวพุ่งเสียบตาข่ายของ เมิร์ต มูลดูร์ แบ๊กขวาทีมชาติตุรกีให้ทีมขึ้นนำจอร์เจีย
ผมคงจะเลือกประตูของ มูลดูร์ ล่ะครับถ้าในนาทีที่ 65 ของเกมเดียวกันไม่เกิดประตูนั้นของเจ้าหนู อาร์ด้า กือแลร์ ขึ้น
กองหน้าวัย 19 ปีจาก เรอัล มาดริด ได้บอลบริเวณหน้าเขตโทษฝั่งขวา เขาลากตัดเข้าในก่อนสับไกด้วยอีซ้ายอย่างเหมาะเหม็ง บอลพุ่งแรงทะยานผ่านมือนายทวารจอร์เจียเข้าไปเสียบหน้าต่างเสาไกลอย่างหมดจดสุดยอด มันไม่เพียงสวยงามเท่านั้นแต่ยังสำคัญเพราะทำให้ ตุรกี ขึ้นนำ จอร์เจีย อีกครั้งเป็น 2-1
ตังกุย