ฝรั่งเศส กับ เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะเป็นสองทีมเต็งที่มีสิทธิ์คว้าตั๋วทะลุเข้ารอบน็อกเอาต์ ศึกยูโร 2024 ที่ประเทศเยอรมนี เนื่องจากพวกเขามีศักยภาพเหนือกว่าสองทีมร่วมกลุ่มหากมองจากชื่อชั้นและขุมกำลัง อย่างไรก็ตาม "ตราไก่" กับ "อัศวินสีส้ม" ก็ห้ามประมาทเลยทีเดียว เพราะทั้ง โปแลนด์ และ ออสเตรีย ก็ไม่ใช่ทีมที่จะมาเอาชนะได้ง่ายๆ แน่นอนว่าพวกเขาก็เตรียมตัวมาดี และพร้อมชนยักษ์ใหญ่ทั้งสองชาติอยู่แล้ว
เนเธอร์แลนด์
ทัพ "อัศวินสีส้ม" อยู่ในกลุ่มค่อนข้างหินในรอบคัดเลือกโดยพวกเขาต้องเจอกับงานยากลำบากในการแย่งโควตาเข้ารอบสุดท้ายกับ ฝรั่งเศส, กรีซ และ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ผลงานของ โรนัลด์ คูมัน ในการกุมบังเหียนเนเธอร์แลนด์ รอบ 2 ไม่ได้โดดเด่นแต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายโดยตลอด 8 เกม ชนะ 6 และแพ้ 2 เกมเท่านั้น
การจบอันดับ 2 ของกลุ่มก็ไม่ได้แย่มากนัก เนื่องจากพวกเขาต้องสู้กับทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่าง ฝรั่งเศส ซึ่งจบอันดับ 1 ในกลุ่ม และในรอบสุดท้ายจะได้มีโอกาสแก้มือกันด้วยเพราะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยยูโรครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่พวกเขาจะได้แก้ตัวจากเมื่อ 4 ปีก่อนที่ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
งานนี้ คูมัน แอนด์ โค. หมายมั่นปั้นมือจะประสบความสำเร็จเหมือนกับ ยูโร 1988 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศเยอรมตะวันตก (ปัจจุบันคือ เยอรมนี) โดยตอนนั้น กุนซือหุ่นล้ำบึ้กวัย 61 ปี เป็นหนึ่งในขุนพล "ฟลายอิ้งดัตช์แมตช์" ชุดสร้างประวัติศาสตร์ด้วย
สตาร์ประจำทีม - เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
เนเธอร์แลนด์ชุดนี้เป็นทีมที่มีแข้งประสบการณ์สูงผสมกับพวกดาวรุ่ง โดยขุมกำลังของทีมตัวหลักเป็นนักเตะที่ออกไปค้าแข้งใน 5 ลีกชั้นนำของยุโรป แต่สำหรับแข้งที่ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษนั่นก็คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
ปราการหลังกัปตัน ลิเวอร์พูล และ เนเธอร์แลนด์ เป็นหัวใจในเกมรับของทีมชาติ และต้นสังกัด โดยจุดแข็งของ ฟาน ไดค์ ก็คือความนิ่งในการรับมือกับสถานการณ์กดดัน, การสกัดบอลที่แม่นยำ, ความรวดเร็ว, ไหวพริบความฉลาดในการอ่านเกม, การเล่นลูกกลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องการเล่นเกมบุกทั้งการผ่านบอลยาวที่แม่นยำ และการขึ้นไปทำประตูในจังหวะลูกตั้งเตะ
ในเรื่องเกมรุกแน่นอนว่า เนเธอร์แลนด์ ชุดนี้มีนักเตะอันตรายหลายคนที่พร้อมกระซวกตาข่าย ดังนั้นการที่พวกเขามี ฟาน ไดค์ คอยทำหน้าที่คุมเกมรับให้ น่าจะช่วยทำให้ทีมรู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะไม่เสียประตูง่ายๆ
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ - 70 เปอร์เซนต์
โปรแกรมฟุตบอลยูโร 2024 ของทีมชาติเนเธอร์แลนด์
+++++++++++++++++++++
ฝรั่งเศส
สำหรับทัพ "ตราไก่" ในยุคของ ดีดิเย่ร์ เดส์ชองส์ เป็นทีมที่แข็งแกร่งมากๆ ในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ 4 ครั้งที่ผ่านมา โดยทะลุเข้ารอบชิง 3 ครั้งได้แก่ ยูโร 2016 (รองแชมป์), เวิลด์ คัพ 2018 (แชมป์) และ เวิลด์ คัพ 2022 (รองแชมป์) โดยสะดุดเสียฟอร์มแค่ยูโร 2020 ที่พลาดท่าตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ผลงานในรอบคัดเลือกของ "เลส์ เบลอส์" ถือว่ายอดเยี่ยมากๆ เมื่อพวกเขาไร้แพ้ให้กับทีมใดเลย โดยเก็บไปถึง 22 คะแนน และตะบันคู่แข่งจำนวน 29 ประตูเสียแค่ 3 ประตูเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ฝรั่งเศส เป็นทีมทีมมีสมดุลอย่างมากทั้งเกมรุก และเกมรับ
สำหรับการยกพลบุกดินแดนไส้กรอกแน่นอนว่า เดส์ชองส์ คาดหวังที่จะนำชาติบ้านเกิดประสบความสำเร็จเป็นสมัยที่ 3 ให้ได้หลังเคยสมหวังมาแล้ว 2 ครั้งในปี 1984 และ 2000 โดยโอกาสที่จะไปถึงฝั่งฝันที่ตั้งใจเอาไวก็มีค่อนข้างสูง เนื่องจากทีมอุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอดมากมาย
สตาร์ประจำทีม - คีลิยัน เอ็มบัปเป้
ตอนนี้คงไม่มีนักเตะคนไหนที่ร้อนแรงในโลกลูกหนังเท่ากับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ อีกแล้ว โดยเขาได้รับบทบาทกัปตันทีมทั้งๆ ที่อายุเพียงแค่ 25 ปี และที่สำคัญ "ประธานเป้" มีส่วนอย่างมากในการนำบ้านเกิดคว้าแชมป์เวิลด์ คัพ ปี 2018 และรองแชมป์ปี 2022
เอ็มบัปเป้ ซึ่งตะบันให้กับ ฝรั่งเศส ไปแล้ว 47 ประตู กำลังมีความสุขกับชีวิตค้าแข้ง หลังจากที่ได้ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ทีมในฝันเรียบร้อยแล้ว และนั่นคงทำให้เขาไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องอนาคตในระดับสโมสรอีกต่อไป ทำให้สามารถโฟกัสไปที่ศึกยูโรอย่างเต็มที่
เมื่อ 4 ปีที่แล้วในศึกยูโร 2020 หัวหอกวัยเบญจเพส ยังมีภาพความทรงจำที่มิอาจลืมเลือนได้นั่นก็คือการเป็นคนสุดท้ายที่ซัดจุดโทษพลาด ทำให้ ฝรั่งเศส แพ้ สวิตเซอร์แลนด์ ตกรอบ 16 ทีมแบบหักปากกาเซียน ดังนั้นนี่จะเป็นโอกาสำคัญที่เขาจะได้ลบล้างความเจ็บปวดและนำความสุขคืนสู่เพื่อนร่วมชาติอีกครั้ง
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ - 80 เปอร์เซนต์
โปรแกรมฟุตบอลยูโร 2024 ของทีมชาติฝรั่งเศส
+++++++++++++++++++
โปแลนด์
มิชาล โพรเบียร์ซ เข้ามารับตำแหน่งแทน แฟร์นานโด ซานโต้ส เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน 2023 และสามารถยกระดับผลงานของทีมจนคว้าตำแหน่งเพลย์ออฟในรอบคัดเลือก ก่อนจะปราบ เวลส์ ในการดวลจุดโทษ คว้าตั๋วเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้สำเร็จ
โปแลนด์ อาจจะทำผลงานในรอบคัดเลือกไม่ค่อยสวยหรูนัก และต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างหนักก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมไม้ประดับที่ใครจะเอาชนะได้ง่ายๆ อย่างน้อยขุมกำลังชุดนี้ก็เล่นร่วมกันมานาน ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา
ผลงานยูโร 2020 ของ โปแลนด์ ถือว่าน่าผิดหวังมากๆ เพราะตกรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่ชนะทีมใดเลย และเก็บได้แค่ 1 คะแนนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาต้องการที่จะแก้มือจากผลงานที่ย่ำแย่เมื่อ 4 ปีก่อน และหวังจะนำความสุขมามอบให้กับเพื่อนร่วมชาติให้ได้
สตาร์ประจำทีม - โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้
สำหรับผู้เล่นตัวความหวังของโปแลนด์คงหนีไม่พ้น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กองหน้ากัปตันทีมที่ยิงระเบิดเถิดเทิงให้กับบ้านเกินไปแล้ว 82 ประตูจากการลงเล่น 149 เกม ซึ่งเป็นสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของประเทศเลยทีเดียว
เลวานดอฟสกี้ มีประสบการณ์โชกโชนในการเล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, บาเยิร์น มิวนิค และปัจจุบันกับ บาร์เซโลน่า โดยทุกสโมสรที่เขาค้าแข้งสามารถกระซวกตาข่ายเป็นว่าเล่นจนเป็นสถิติของทีม
จุดเด่นของ เลวานดอฟสกี้ ก็คือการยิงที่เฉียบคมทั้งในและนอกกรอบ, การวิ่งหาพื้นที่ว่างในเขตโทษ และความเก๋าในการอาจจังหวะเกม อย่างไรก็ตามในการลงเล่นรอบสุดท้ายทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์นั้น "เลวาน" ผลงานไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ แต่ถ้าหากคู่แข่งประมาทงานนี้มีสิทธิ์โดนกระซวกตาข่ายได้เลย
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ - 50 เปอร์เซนต์
โปรแกรมฟุตบอลยูโร 2024 ของทีมชาติโปแลนด์
+++++++++++++++++++++++
ออสเตรีย
ออสเตรีย ยุคนี้ได้บิดาแห่ง "เกเก้นเพรสซิ่ง" นั่นก็คือ ราล์ฟ รังนิค เข้ามากุมบังเหียน และเปลี่ยนพวกเขาให้การเป็นชาติที่เล่นฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงออกมาให้เห็นจากผลงานในรอบคัดเลือกที่ผ่านมา
รังนิค ปรับเปลี่ยนมายด์เซตของนักเตะออสเตรียให้ออกจากกรอบความคิดในเรื่องเน้นการเล่นเกมรับ และเป็นทีมที่กล้าพร้อมเปิดเกมบุกใส่คู่แข่งทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและทำให้ทีมสามารถผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายได้แบบอัตโนมัติ
ย้อนไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ออสเตรีย สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขาส่วนใหญ่จะเน้นการตั้งรับเหนียวแน่น และรอจังหวะสวนกลับ ซึ่งสวนทางกับในยุคของ รังนิค โดยพวกเขาสามารถต่อกรกับ เบลเยียม ได้อย่างสนุกทั้ง 2 เกม (เสมอ 1-1 และแพ้ 2-3) ขณะที่การปะทะกับ สวีเดน สามารถเอาชนะได้ทั้ง 2 แมตช์
แม้ ออสเตรีย จะอยู่ในกลุ่มที่ค่อนข้างหินก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมแจกแต้มแน่นอน และเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ที่แสนโชกโชนของ รังนิค ซึ่งเคยคุมระดับสโมสรมาแล้วมากมายหนึ่งในนั้นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะมีแผนเด็ดเอาไว้ปราบทีมเหล่านั้นได้
สตาร์ประจำทีม - มาร์เซล ซาบิตเซอร์
กองกลางถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเล่นเกมรุกของ ออสเตรีย โดยพวกเขามี มาร์เซล ซาบิตเซอร์ เป็นหัวใจในการสร้างสรรค์เกม โดยสตาร์โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มีความโดดเด่นในเรื่องการครองบอลและการผ่านบอลที่แม่นยำ ขณะเดียวกันยังคอยช่วยตัดเกมในแผงมิดฟิลด์ รวมทั้งดันขึ้นสูงเพื่อสร้างโอกาสในการทำประตู
ผลงานของ ซาบิตเซอร์ แสดงให้เห็นอย่างโดดเด่นตอนที่เล่นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด (ครึ่งซีซั่น) และล่าสุดช่วย ดอร์ทมุนด์ ทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพวกเขาพลาดท่าแพ้ เรอัล มาดริด ไปอย่างน่าเสียดาย
ความสามารถในการคุมจังหวะเกม และการสร้างสรรค์โอกาสของ ซาบิตเซอร์ เป็นสิ่งที่ ออสเตรีย ต้องการอย่างมาก เพราะการเปิดบอลที่แม่นยำของเขาเพียงจังหวะเดียวอาจเปลี่ยนเกมได้เลยทีเดียว
โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์ - 40 เปอร์เซนต์
โปรแกรมฟุตบอลยูโร 2024 ของทีมชาติออสเตรีย