ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) เปิดเผยว่า ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 19 "หางโจวเกมส์" ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ทางทัพนักกีฬาไทยได้มีการเก็บตัวฝึกซ้อมยาวนานกว่า 2 ปี ใช้งบประมาณไปกว่า 1,300 ล้านบาท โดยปกติแล้วงบในการส่งแข่งขันเป็นอีกส่วนของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) แต่ในปีนี้ต้องบอกว่า กองทุนฯ ก็เป็นอีกแหล่งเงินทุนที่มาช่วยเหลือให้องค์กรเดินหน้าได้ในยามที่ได้รับงบประมาณมาไม่ครบ ทำให้เป็นครั้งที่กองทุนฯ ให้งบส่งแข่งขันทั้งซีเกมส์ที่ผ่านมา และจนถึงเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้
"คิดว่าเป็นอีกภารกิจของกองทุนฯ ที่จะเพิ่มเติมในหมวดของการส่งแข่งขันที่จะต้องบริหารจัดการเรื่องนี้เพิ่มเติม ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ มีมติให้มุ่งไปที่ความสะดวกสบายของนักกีฬา และความเป็นอยู่ของนักกีฬาเป็นหลัก ส่วนเรื่องของเงินจากใน Single Sport แต่ถ้าเป็น Multi Sport หรือมหกรรมที่ได้มาตรฐานทั้งซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์ กองทุนฯ ไม่ได้ไปแตะเลย และไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเงินรางวัลแต่อย่างใด"
ดร.สุปราณี กล่าวอีกว่า ทางกองทุนฯ ได้เตรียมเงินรางวัลเอาไว้ โดยในปี 2567 เราตั้งงบประมาณเงินรางวัลไว้ถึง 800 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปกติ และครอบคลุมถึงเอเชี่ยนเกมส์ หางโจวด้วย คาดว่าเงินรางวัลครั้งนี้น่าจะถึง 200 ล้านบาท เพราะโครงสร้างเงินรางวัลยังเหมือนเดิมคือ เหรียญทอง 2 ล้านบาท, เหรียญเงิน 1 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 5 แสนบาท รวมทั้งในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โครงสร้างก็ยังเหมือนเดิม แต่ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างคือ Single Sport เช่นรายการชิงแชมป์โลก เพราะจะต้องเข้าไปดูว่ารายการนั้นอยู่ในคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) หรือไม่ เพื่อไม่ให้เงินรางวัลเยอะเกินไป
"ในส่วนของ Single Sport ถ้าเป็นกีฬาที่อยู่ในโอลิมปิกเกมส์ก็จะเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว แต่การเขียนกฏหมายไม่ได้เขียนรายละเอียดลงลึก ต้องดูเหตุและผล อย่างเช่นจำนวนประเทศที่แข่งขันในรายการนั้น" ดร.สุปราณี กล่าว